อยากเก็บเงินเกษียณด้วยเทคนิค DCA ต้องรู้อะไรบ้าง ?
การวางแผนเกษียณเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเริ่มต้นตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะเมื่อถึงวัยเกษียณ รายได้จากงานประจำจะหมดไป แต่ค่าใช้จ่ายยังคงมีอยู่ ดังนั้น เพื่อให้มีเงินเพียงพอใช้ในอนาคตและไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน

ก่อนการวางแผนเกษียณต้องรู้อะไรบ้าง ?
คำนวณเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณโดยคำนึงถึงเงินเฟ้อ
หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการวางแผนเกษียณคือ การประเมินค่าใช้จ่ายในอนาคต เนื่องจากค่าครองชีพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ โดยสูตรคำนวณเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณอย่างง่ายคือ นำค่าใช้จ่ายรายเดือนในปัจจุบันคูณด้วย 12 เดือน และคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ จากนั้นปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยประมาณ 6% ต่อปี ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท และคาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ 20 ปี จะต้องมีเงินออมประมาณ 7.2 ล้านบาท (30,000 x 12 x 20) โดยเมื่อคำนึงถึงเงินเฟ้อแล้ว อาจต้องเตรียมเงินไว้ถึง 15-17 ล้านบาท
ประเมินเงินออมและแหล่งรายได้หลังเกษียณ
ก่อนวางแผนลงทุน ควรสำรวจว่ามีแหล่งรายได้อะไรบ้างเมื่อเกษียณอายุไปแล้ว เช่น
- เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งได้จากการขายกองทุน RMF ที่ครบกำหนด
- เงินปันผลจากหุ้นหรือกองทุนรวมที่ลงทุน
- รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าหรือกิจการที่ทำควบคู่กับงานประจำ
- เงินบำนาญหรือประกันชีวิตแบบบำนาญที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย
วางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงวัย
กลยุทธ์การลงทุนควรปรับเปลี่ยนตามอายุ โดยทั่วไปแนวทางที่ใช้กันคือ
- วัยทำงานช่วงต้น (20-35 ปี) : รับความเสี่ยงได้สูง ควรลงทุนในหุ้นและกองทุนที่มีการเติบโตสูง
- วัยกลางคน (35-50 ปี) : ปรับพอร์ตการวางแผนเกษียณให้สมดุลระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
- วัยใกล้เกษียณ (50 ปีขึ้นไป) : ลดสัดส่วนหุ้น เพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ กองทุนตลาดเงิน หรือเงินฝากระยะยาว
การวางแผนเกษียณด้วยเทคนิคการลงทุนแบบ DCA

สินทรัพย์ที่เหมาะกับการลงทุนเพื่อการเกษียณ
การลงทุนเพื่อเก็บเงินเกษียณจำเป็นต้องพิจารณาเลือกสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและให้ผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
- หุ้นเติบโต (Growth Stocks) : หุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีรายได้และกำไรที่ขยายตัวต่อเนื่อง เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, หุ้นสุขภาพ และหุ้นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
- หุ้นที่มั่นคงและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ (Dividend Stocks) : สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและกระแสเงินสดสม่ำเสมอ หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลเป็นประจำถือเป็นทางเลือกที่ดี หุ้นกลุ่มนี้มักเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการมั่นคง เติบโตอย่างช้า ๆ แต่แข็งแกร่ง และสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities Stocks) หรือ หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Staples Stocks)
- กองทุนที่เน้นการเติบโต : ถ้าไม่มีเวลาศึกษาหุ้นรายตัว กองทุนรวมประเภทกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap Fund) หรือกองทุนดัชนี (Index Fund) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500 หรือ NASDAQ รวมถึงกองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีหุ้นโลก เช่น iShares MSCI World ETF เป็นต้น
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) : กองทุนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและออกแบบมาเพื่อการเกษียณโดยเฉพาะ โดยมีให้เลือกทั้งกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ และกองทุนผสม อย่างไรก็ดี นักลงทุนคนไหนต้องการซื้อหรือลงทุนกองทุนประเภทนี้ต้องศึกษาเงื่อนไขก่อนการลงทุน เนื่องจากมีการกำหนดเงื่อนไขด้านเวลาการถือครอง
- ตราสารหนี้ (Bonds) : ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds), หุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับเครดิตสูง (Corporate Bonds), และ กองทุนตราสารหนี้ (Bond Funds) เป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงเมื่อเข้าใกล้ช่วงเกษียณ และช่วยสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ
- กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) : การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยสร้างรายได้อย่างมั่นคงในระยะยาว ตอบโจทย์การวางแผนเกษียณ แต่การซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยตรงอาจต้องใช้เงินทุนสูง ดังนั้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts – REITs) จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดจากค่าเช่าโดยไม่ต้องบริหารอสังหาริมทรัพย์เอง
- ทองคำ : ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) และเป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน
เพิ่มเงินลงทุนเมื่อมีโอกาส
แม้ว่า DCA เพื่อเก็บเงินเกษียณจะเน้นการลงทุนสม่ำเสมอ แต่หากตลาดมีการปรับฐานแรง นักลงทุนสามารถเพิ่มเงินลงทุนในช่วงที่ราคาปรับตัวลง (Buy the Dip) เพื่อช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยของพอร์ต โดยแนวทางเพิ่มเงินลงทุนสามารถทำได้ดังนี้
- ลงทุนเพิ่มเมื่อหุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น : ใช้การวิเคราะห์พื้นฐานเพื่อระบุว่าหุ้นอยู่ในช่วง Undervalue
- ใช้เงินโบนัสหรือรายได้พิเศษเข้าลงทุน : เช่น เงินโบนัสปลายปี หรือเงินพิเศษจากการทำงานเสริม สามารถนำมาลงทุนเพิ่มเติมแทนการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
- เพิ่มเงินลงทุนเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว : ช่วงที่ตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะขาขึ้น (Bull Market) การเพิ่มเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพจะช่วยให้พอร์ตเติบโตเร็วขึ้น
เลือกเพิ่มและลดการลงทุนตามช่วงวัย
DCA เป็นเครื่องมือการวางแผนเกษียณที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงในแต่ละช่วงอายุ
- วัยทำงานตอนต้น (20-35 ปี) : สามารถรับความเสี่ยงได้สูง ควรเน้นลงทุนในหุ้นและกองทุนหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว เช่น ลงทุน 80% ในหุ้นหรือกองทุนหุ้น และ 20% ในสินทรัพย์ปลอดภัย
- วัยกลางคน (35-50 ปี) : ควรลดสัดส่วนหุ้นลงเล็กน้อยเพื่อกระจายความเสี่ยง อาจจัดพอร์ตเป็น 60% หุ้น, 30% ตราสารหนี้ และ 10% สินทรัพย์ปลอดภัย
- วัยใกล้เกษียณ (50 ปีขึ้นไป) : ควรลดสัดส่วนหุ้นและเพิ่มตราสารหนี้หรือกองทุนตลาดเงินเพื่อรักษาความมั่นคงของพอร์ต อาจจัดพอร์ตเป็น 40% หุ้น, 40% ตราสารหนี้ และ 20% สินทรัพย์ปลอดภัย

ทำไมเทคนิค DCA จึงเหมาะกับการวางแผนเกษียณ ?
สร้างวินัยในการลงทุนและลดความเครียดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
หนึ่งในปัญหาหลักของนักลงทุนทั่วไปคือการขาดวินัยและการตัดสินใจลงทุนตามอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนระยะยาวสำหรับการเกษียณ หลายคนพยายามจับจังหวะตลาด (Market Timing) ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและมีโอกาสผิดพลาดสูง การลงทุนแบบ DCA สามารถช่วยขจัดปัญหานี้โดยให้ผู้ลงทุนกำหนดจำนวนเงินที่แน่นอนและลงทุนเป็นประจำ ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง ส่งผลให้การลงทุนเป็นระบบ ลดความเครียดจากความผันผวน และช่วยให้มีวินัยในการออมเงินเกษียณอย่างต่อเนื่อง
ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและไม่ต้องกังวลกับภาวะตลาด
ตลาดการเงินมีความผันผวนตามปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง และปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นหรือกองทุนที่ลงทุนอาจมีการปรับตัวขึ้นหรือลงในช่วงสั้น ๆ นักลงทุนที่ลงทุนแบบก้อนเดียว (Lump Sum Investment) จึงอาจพบปัญหาซื้อหุ้นในราคาสูงสุดของรอบตลาด ทำให้ได้รับผลตอบแทนต่ำ หรือขาดทุนเมื่อตลาดปรับตัวลง แต่การใช้กลยุทธ์แบบ DCA จะช่วยกระจายต้นทุนในการลงทุนไปตลอดช่วงเวลาต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของพอร์ตลดลงและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
ใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว
ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เงินลงทุนสำหรับวางแผนเกษียณเติบโตแบบทวีคูณ โดยเฉพาะในการลงทุนระยะยาว หากนักลงทุนลงทุนแบบสม่ำเสมอผ่านเทคนิค DCA เงินปันผลและกำไรจากการลงทุนจะถูกนำกลับมาลงทุนใหม่ ส่งผลให้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นแบบทบต้นเมื่อเวลาผ่านไป ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปีด้วยเงินเดือนละ 5,000 บาทในกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8% เมื่อถึงอายุ 60 ปี เงินลงทุนจะเติบโตเป็นหลักล้านบาทได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินก้อนใหญ่ตั้งแต่ต้น
เหมาะกับทุกคน ไม่ว่ามีเงินลงทุนมากหรือน้อย
DCA เป็นเทคนิคที่เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีเงินก้อนใหญ่ในการลงทุนครั้งเดียว นักลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนเพื่อการวางแผนเกษียณด้วยจำนวนเงินที่เหมาะสมกับรายได้ของตนเอง เช่น อาจเริ่มต้นลงทุนเดือนละ 1,000-5,000 บาท และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อมีรายได้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเลือกลงทุนในกองทุนรวม RMF หรือลงทุนด้วยเทคนิค DCA ในหุ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนเกษียณ ก็สามารถใช้บริการบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ เราเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัท PhillipCapital จากสิงคโปร์ ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 50 ปี มีเครือข่ายใน 5 ทวีป 15 ประเทศทั่วโลก มีเงินน้อยก็ลงทุนได้ พร้อมให้คำแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน มีนักวิเคราะห์ช่วยคัดสรรหุ้นพื้นฐานดีมาให้เลือกลงทุน ดูแลทุกขั้นตอนโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์สูง สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการลงทุนได้ด้วยตนเอง

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อมูลอ้างอิง:
- Use Dollar-Cost Averaging to Build Wealth Over Time. สืบค้นวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.investopedia.com/investing/dollar-cost-averaging-pays/
