การลงทุนเป็นเรื่องท้าทาย และนักลงทุนแต่ละคนก็มีแนวทางเฉพาะตัวในการสร้างความมั่งคั่ง บางคนอาจเน้นการจับจังหวะตลาด (Market Timing) ในขณะที่บางคนอาจเลือกกลยุทธ์ลงทุนในระยะยาวที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมสูงสำหรับกลุ่มนักลงทุนที่มองหาวิธีการสร้างพอร์ตให้งอกเงยในระยะยาวก็คือ DCA หรือ Dollar Cost Averaging ส่วนใครที่ยังมีข้อสงสัยและไม่เข้าใจว่า DCA คืออะไร เราจะพาไปเจาะลึกความหมายของการลงทุนในรูปแบบนี้ รวมถึงวิธีการทำงานและข้อดี-ข้อเสีย พร้อมยกตัวอย่างการนำ DCA ไปใช้จริงอย่างเห็นภาพ
เข้าใจ Pain Point ของนักลงทุนที่ทำให้ DCA เป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์
ก่อนจะไปรู้ว่า DCA คืออะไร เราไปสำรวจปัญหาหรือ Pain Point ที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักเผชิญกันก่อน เพราะสิ่งนี้จะทำให้เข้าใจว่าทำไม DCA จึงเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์
- กลัวการขาดทุนจากการจับจังหวะตลาดผิดพลาด
นักลงทุนหลายคนพยายาม “จับจังหวะตลาด” หรือทำนายว่าเมื่อไรราคาจะถึงจุดต่ำสุดเพื่อซื้อ หรือจุดสูงสุดเพื่อขาย แต่ในความเป็นจริง การคาดการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และมีโอกาสผิดพลาดสูง เช่น ซื้อในช่วงที่ราคาพุ่งสูง หรือขายเมื่อราคาลดลงเพราะความกลัว ส่งผลให้เกิดการขาดทุนซ้ำ ๆ - ขาดวินัยและความสม่ำเสมอในการลงทุน
หลายคนเริ่มต้นลงทุนด้วยความตั้งใจ แต่เมื่อราคาสินทรัพย์ลดลงหรือเผชิญกับความผันผวน อาจเกิดความกลัวจนหยุดลงทุนกลางคัน - ตลาดผันผวนสร้างความเครียดและอคติในการตัดสินใจ
เมื่อราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนมักเผชิญกับ “ความกลัว” หรือ “ความโลภ” ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง เช่น รีบขายในช่วงที่ราคาตก หรือซื้อเพิ่มในช่วงที่ราคาสูงเกินไป

DCA คืออะไร ?
DCA (Dollar Cost Averaging) คือ กลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนแบ่งเงินลงทุนเป็นจำนวนเท่า ๆ กันในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุกเดือน ทุกสัปดาห์ หรือทุกไตรมาส โดยไม่สนใจว่าราคาสินทรัพย์ ณ เวลานั้นจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง เป้าหมายหลักของ DCA คือการลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดที่ผิดพลาด และกระจายต้นทุนการซื้อในราคาที่แตกต่างกันออกไป โดย DCA สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น, กองทุนรวม, หรือแม้กระทั่งสกุลเงินดิจิทัล
ตัวอย่างการลงทุนแบบ DCA
สมมติว่าคุณต้องการลงทุนในหุ้นบริษัท ABC ด้วยงบประมาณเดือนละ 5,000 บาทเป็นเวลา 6 เดือน เราจะเห็นได้ว่าราคาหุ้นในแต่ละเดือนเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับการลงทุนทั้งหมดในครั้งเดียว
- เดือนที่ 1: ราคาหุ้น ABC = 50 บาท/หุ้น → ซื้อได้ 100 หุ้น
- เดือนที่ 2: ราคาหุ้น ABC = 40 บาท/หุ้น → ซื้อได้ 125 หุ้น
- เดือนที่ 3: ราคาหุ้น ABC = 55 บาท/หุ้น → ซื้อได้ 90.9 หุ้น
- เดือนที่ 4: ราคาหุ้น ABC = 35 บาท/หุ้น → ซื้อได้ 142.9 หุ้น
- เดือนที่ 5: ราคาหุ้น ABC = 45 บาท/หุ้น → ซื้อได้ 111.1 หุ้น
- เดือนที่ 6: ราคาหุ้น ABC = 60 บาท/หุ้น → ซื้อได้ 83.3 หุ้น
หลังจาก 6 เดือน คุณลงทุนไปทั้งหมด 30,000 บาท และสะสมหุ้นได้ 653.2 หุ้น โดยต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้นของคุณจะอยู่ที่ประมาณ 45.93 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดในเดือนที่ 6 ที่ 60 บาท นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ DCA ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดได้อย่างไร

ข้อดีของการลงทุนแบบ DCA
DCA ดีไหม ? การลงทุนแบบ DCA คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าการลงทุน ย่อมไม่ได้มีแต่ด้านบวก และไม่ได้เหมาะกับทุกคน อย่างไรก็ตาม การลงทุนแบบ DCA ก็มีข้อดีหลายข้อที่สามารถสรุปได้ดังนี้
- ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
การลงทุนในหลายช่วงเวลาช่วยให้คุณได้ต้นทุนเฉลี่ยที่ต่ำกว่าการลงทุนทั้งหมดในครั้งเดียว โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวน - เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่
การลงทุนแบบ DCA มีข้อดีคือไม่ต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคหรือการวิเคราะห์ตลาดขั้นสูง เป็นกลยุทธ์ที่เข้าใจง่ายและทำตามได้ทันที - สร้างวินัยในการลงทุน
การกำหนดจำนวนเงินและความถี่ที่ชัดเจนช่วยให้นักลงทุนมีวินัย และช่วยลดปัญหาการหยุดลงทุนกลางคัน - ลดอคติและความเครียด
นักลงทุนไม่ต้องคาดเดาหรือกังวลเรื่อง “จังหวะ” ที่เหมาะสมในการลงทุน ทำให้ลดความเครียดจากตลาดผันผวน
ข้อควรพิจารณาของการลงทุนแบบ DCA
- อาจพลาดโอกาสในการทำกำไรสูงสุด
กรณีที่ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นยาวนาน การลงทุนในครั้งเดียวตั้งแต่แรกอาจสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า DCA - ไม่เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มขาลงระยะยาว
หากสินทรัพย์ที่เลือกลงทุนไม่มีพื้นฐานที่ดี หรือมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง การลงทุนแบบ DCA อาจนำไปสู่การขาดทุน - ต้องมีวินัยและความต่อเนื่อง
ถ้าหยุดลงทุนกลางคันหรือเปลี่ยนแผนโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน DCA อาจไม่ได้ผลตามเป้าหมาย
DCA เหมาะกับใคร ?
การลงทุนแบบ DCA มีทั้งข้อดีที่ตอบโจทย์กับกลุ่มนักลงทุนที่มีเป้าหมายระยะยาวและต้องการลดความซับซ้อนในการจัดการพอร์ตการลงทุน ดังนี้
- นักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตระยะยาว
DCA เหมาะกับผู้ที่มองการลงทุนเป็นการสะสมสินทรัพย์ในระยะยาว เช่น การวางแผนเกษียณ การซื้อบ้าน หรือการศึกษาของลูก การลงทุนสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสะสมสินทรัพย์โดยไม่ต้องสนใจความผันผวนระยะสั้นของตลาด - นักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามตลาด
ถ้าคุณเป็นคนที่มีงานประจำหรือไม่มีเวลาติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและตลาดรายวัน การใช้ DCA จะช่วยลดความซับซ้อนและไม่ต้องพึ่งพาการวิเคราะห์เชิงลึก - นักลงทุนที่มีรายได้ประจำ
ผู้ที่มีรายได้สม่ำเสมอ เช่น เงินเดือน สามารถกำหนดเงินลงทุนเป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละเดือน เช่น 5-10% ของรายได้ และลงทุนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว - นักลงทุนที่กังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง
หากคุณกังวลเกี่ยวกับการขาดทุนหรือไม่อยากแบกรับความเสี่ยงในครั้งเดียว การกระจายการลงทุนแบบ DCA จะช่วยลดแรงกดดันและทำให้คุณเข้าสู่ตลาดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น - นักลงทุนมือใหม่
สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่มีประสบการณ์ การใช้ DCA คือวิธีการเริ่มต้นที่เหมาะสม เพราะง่ายต่อการจัดการและช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด

วิธีเริ่มต้น DCA อย่างเป็นระบบ
ถึงแม้การลงทุนแบบ DCA จะไม่ซับซ้อน แต่ก็ต้องมีการวางแผนที่ดีเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยคุณสามารถเริ่มต้นได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
- กำหนดเป้าหมายการลงทุน
- ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ลงทุนเพื่ออะไร เช่น การเกษียณ สร้างความมั่งคั่ง หรือสะสมทรัพย์สินในอนาคต
- กำหนดระยะเวลาการลงทุน เช่น 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี เพื่อช่วยเลือกสินทรัพย์และกำหนดกลยุทธ์ให้เหมาะสม
- การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม
- เลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว เช่น หุ้นของบริษัทชั้นนำ กองทุนรวมดัชนี หรือ ETF
- สำหรับผู้เริ่มต้น การลงทุนในกองทุนรวมดัชนีอาจเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำกว่าและครอบคลุมตลาดในวงกว้าง
- กำหนดงบประมาณในการลงทุน
- ประเมินความสามารถทางการเงินและกำหนดเงินลงทุนที่เหมาะสม เช่น 5,000 บาทต่อเดือน หรือ 10% ของรายได้ประจำ
- อย่าลงทุนเกินกว่าที่จะรับความเสี่ยงได้ และควรเก็บเงินสำรองฉุกเฉินไว้เสมอ
- กำหนดความถี่ในการลงทุน
- ตัดสินใจว่าจะลงทุนทุกเดือน ทุกสองสัปดาห์ หรือทุกไตรมาส
- หากคุณมีรายได้สม่ำเสมอ การลงทุนรายเดือนอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
- ตรวจสอบและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอ
- แม้ว่า DCA จะเน้นความสม่ำเสมอ แต่ควรตรวจสอบพอร์ตการลงทุนทุก 6 เดือนหรือทุกปี เพื่อให้แน่ใจว่าสินทรัพย์ที่เลือกยังคงเหมาะสมกับเป้าหมาย
การปรับแผนเมื่อตลาดผันผวน
แม้ว่าการลงทุนแบบ DCA คือวิธีที่ช่วยลดความกังวลจากการผันผวนของตลาด แต่การปรับแผนในบางช่วงเวลาอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนของคุณได้ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้
- การเพิ่มการลงทุนในช่วงที่ตลาดขาลง
หากมีเงินสำรองเพิ่มเติม การลงทุนเพิ่มในช่วงที่ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างมากจะช่วยให้คุณได้ต้นทุนเฉลี่ยที่ต่ำลง แต่ก็ต้องแน่ใจว่าสินทรัพย์นั้นมีพื้นฐานที่ดี - การลดเงินลงทุนในช่วงวิกฤตส่วนตัว
กรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อการเงินส่วนตัว เช่น การตกงานหรือปัญหาสุขภาพ ควรปรับลดงบประมาณการลงทุนชั่วคราว และกลับมาลงทุนเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ - ตรวจสอบพอร์ตการลงทุน
หากพบว่าสินทรัพย์ที่คุณลงทุนไม่มีศักยภาพในการเติบโต หรือสถานการณ์ตลาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น ความผันผวนที่เกิดจากเศรษฐกิจโลก ก็อาจต้องปรับเปลี่ยนพอร์ต เช่น โยกย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงกว่า - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ถ้าไม่มั่นใจในการปรับแผนด้วยตัวเอง การขอคำแนะนำจากนักวางแผนการเงินหรือที่ปรึกษาการลงทุนจะช่วยให้ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อเข้าใจแล้วว่า DCA คืออะไร มีข้อดีอย่างไร และลงทุน DCA หุ้นดีไหม สำหรับนักลงทุนที่อยากลงทุน DCA กองทุนหรือหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับคำปรึกษา รวมถึงแนวทางที่เหมาะกับเป้าหมายที่วางไว้ สามารถมาเปิดบัญชีออมหุ้น หรือ ซื้อกองทุนรวม กับ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หนึ่งในกลุ่มบริษัท PhillipCapital จากสิงคโปร์ ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 50 ปี มีเครือข่ายใน 5 ทวีป 15 ประเทศทั่วโลก พร้อมช่วยให้คำแนะนำในการดำเนินการทุกขั้นตอน ด้วยประสบการณ์ดำเนินธุรกิจในไทยนานกว่า 27 ปี

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ข้อมูลอ้างอิง
Dollar-Cost Averaging (DCA) Explained With Examples and Considerations. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 จาก https://www.investopedia.com/terms/d/dollarcostaveraging.asp
