Table of Content

บทนำ

สรุป Live: เจาะเทรนด์โลก 2021 รู้ก่อน! รวยก่อน!! กับแบไต๋

Piyachart Maikaew

5 min read

  • 24 DEC 2020
  • Table of Content

    บทนำ

    Beartai-Mega-Trend-2021

    ไฮไลท์

    1. Mega Trend คือ แนวโน้มที่ใหญ่มาก มองยาว 10-50 ปี ไม่ใช่เทรนด์ที่เข้ามาระยะสั้นๆ แล้วหายไป การเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับ Mega Trend จะทำให้พอร์ตลงทุนเติบโตในระยะยาว
    2. กองทุน ETF คือ ลงผสมระหว่างกองทุนรวมและหุ้น หากคุณไม่มีเวลาดูหุ้นรายตัว หรือยังไม่มั่นใจในกิจการที่อยากจะลงทุน กองทุน ETF เป็นอีกหนึ่งทางเลือก 
    3. หากคุณต้องการลงทุนในหุ้น Cloud Computing ลงทุนในกองทุน ETF หุ้นธุรกิจนี้ จะทำให้คุณกระจายความเสี่ยงในบริษัทจดทะเบียนหลายร้อยบริษัทในอุตสาหกรรม Cloud Computing หากบริษัทใดบริษัทหนึ่งใน ETF ไม่ดี พอร์ตลงทุนรวมของ ETF จะไม่สะเทือนมากนัก เพราะยังมีหุ้น Cloud Computing ที่ผลประกอบการยังดี และราคาหุ้นยังไปได้ดี
    4. Jitta Wealth Thematic เริ่มมาจากความน่าสนใจในธุรกิจ Mega Trend ของโลก จะอิงไปกับเทรนด์ดิจิทัล การแพทย์ และสังคมคนสูงวัย เอามาผสมกับการลงทุนในกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้อง Mega Trend เหล่านี้

    ดูย้อนหลัง

    สรุปเนื้อหา Live

    วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta.com และ Jitta Wealth ได้มีโอกาส Live สดในรายการ ‘หนุ่ยทอล์คหนุ่ยโทร’ ของคุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ในหัวข้อ ‘เจาะเทรนด์โลก 2021 รู้ก่อน! รวยก่อน!! กับ Beartai : แบไต๋’

    Q: คุณเผ่าคิดยังไงกับการแพร่ระบาด Covid-19 ในประเทศรอบใหม่

    A: ผมมองว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และหลายคนก็คาดการณ์ไว้แล้วว่า สถานการณ์ยังไม่สงบ แม้เราจะคลายล็อกดาวน์ไปแล้ว การระบาดรอบที่ 2 มันเกิดขึ้นได้ แต่ทุกวิกฤตมักมีโอกาสแทรกอยู่ แม้บางธุรกิจจะทรุดจากโรคระบาด ก็ยังมีอีกหลายธุรกิจที่โต ส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจประเภทดิจิทัลและออนไลน์

    Covid-19 เป็นตัวเร่งให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่ากลุ่มธุรกิจที่มีแพลตฟอร์ม หรือซอฟต์แวร์ ที่เกี่ยวข้องกับการจากการล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) จะมีบทบาทมากขึ้น

    อย่าง Cloud Computing พัฒนามาได้ 4-5 ปี แต่เริ่มมีการใช้งานมากขึ้นในช่วง Covid-19 อย่างแชร์ไฟล์งานในระบบ หรือดูทีวีสตรีมมิง นอกจากนี้ยังมีธุรกิจ E-commerce เมื่อเราไม่สามารถออกจากบ้านได้ ก็ต้องใช้บริการแพลตฟอร์มนี้ หรือธุรกิจ FinTech ที่เราต้องใช้ E-wallet จ่ายเงินแทนการยื่นเงินสดให้กัน รวมไปถึงการใช้ระบบชำระเงินออนไลน์ผ่านหน้าเว็บไซต์

    การล็อกดาวน์ ทำให้ธุรกิจเกมและ E-sport มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นด้วย เพราะคนต้องอยู่บ้าน จึงมีเกมเมอร์แจ้งเกิดจากการแคสเกมมากมาย หรือการใช้เกมออกกำลังกายอย่าง Ring Fit

    นอกจากนี้ Covid-19 ยังเร่งให้มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในโลกออนไลน์มากขึ้น ด้วยปริมาณข้อมูลข่าวสารมากขึ้น AI จะมาช่วยกรองการใช้งานออนไลน์ของเราว่า เราชอบอ่านอะไร ดูอะไร แต่ยังถูกพัฒนาให้สามารถสอดแทรกเนื้อหาอื่นๆ ที่เราอาจจะสนใจ ดังนั้น AI จึงมีความคิดมากขึ้น 

    อย่าง Facebook ใช้ AI ดูจากสื่อที่เราอ่านหรือดู เราจึงได้รับอิทธิพลจาก AI ของ Facebook อีกที

    เมื่อพูดถึง Mega Trend ภาพเลยชัดขึ้น มันคือแนวโน้มใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นในอีก 10-50 ปีหลังจากนี้ ไม่ใช่เทรนด์ที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ผ่านไป ในทศวรรษใหม่ ปี 2021 หรือ 2564 Mega Trend ยังจะผูกไปกับดิจิทัล และอินเตอร์เน็ต 

    Q: Jitta Wealth ออกการลงทุนแบบ Thematic ลงทุนอย่างไร

    A: มันเริ่มมาจากความน่าสนใจในการลงทุนต่างประเทศ เมื่อก่อนอาจจะยาก หากจะลงทุนหุ้นต่างประเทศรายตัว แต่เดี๋ยวนี้มันง่ายขึ้นแล้ว

    แต่พอมีกองทุน ETF ชื่อเต็มคือ Exchange Traded Fund มันคือกองทุนประเภทหนึ่งที่เอามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น ก็เปรียบเสมือนหุ้น 1 ตัว ตัวกองทุน ETF นี้ก็จะไปลงทุนในหุ้นอีกหลายร้อยบริษัท ตามนโยบายที่จะลงทุน

    อย่างเช่น กองทุน XT (iShares Exponential Technologies ETF) ลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั้งโลก หรือกองทุน MCHI (iShares MSCI China ETF) ลงทุนหุ้นจีน 85% ของพอร์ตกองทุนอยู่ในจีน พอเป็น ETF คือ เสี่ยงน้อยลง ไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว

    อย่าง E-commerce มันก็เป็นกลุ่มธุรกิจเติบโตดีก็จริง แต่มีทั้งที่เจ๊งและโต ถ้าซื้อ ETF ในกลุ่ม E-commerce หุ้นไหนเจ๊ง ก็หลุดจากกองทุน ดังนั้นเสี่ยงน้อยลง เพราะอุตสาหกรรมโต กองทุน ETF ก็โต

    ในทางปฏิบัติจริง เราไม่สามารถซื้อได้ทุกตัว กองทุน ETF จึงเป็นลูกผสมระหว่างหุ้นกับกองทุนรวม ถ้ามีบัญชีซื้อขายหุ้น คุณสามารถซื้อ ETF ได้เลย แต่ถ้าเป็นกองทุนรวม คุณจะต้องไปเปิดบัญชีที่ธนาคารหลายๆ ที่ ถ้ากองทุนรวมที่อยากจะลงทุน อยู่คนละบลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) แต่ถ้าคุณลงทุนในหุ้น ก็ต้องจับจังหวะเข้าลงทุนเอง 

    Q: ความแตกต่างระหว่างกองทุนรวม กับกองทุน ETF

    A: ถ้าคนที่เริ่มรู้จัก ETF แล้ว จะไม่ค่อยลงทุนในกองทุนรวม อย่างในตลาดสหรัฐอเมริกา 15 ปีที่ผ่านมา เงินจากกองทุนรวมจะไหลออกซื้อลงทุนในกองทุน ETF มากขึ้น เพราะซื้อขายง่ายกว่า ค่าบริหารจัดการต่ำกว่า ดีกว่ากองทุนรวมชัดเจน 

    อย่างกองทุน ETF หุ้น Cloud Computing ปีนี้ มีผลตอบแทนโต 100% อย่างหุ้นในกลุ่มนี้ เช่น Zoom ที่ได้ผลดีจาก Covid-19 ราคาพุ่งเป็น 500% แต่แน่นอนมันก็มีหุ้นกลุ่ม Cloud Computing ที่ยังโตตามอุตสาหกรรม ดังนั้นถ้าหุ้นตัวนี้ราคาตก กองทุน ETF ก็ไม่ได้ตก เพราะยังหุ้นตัวอื่นๆ ที่ยังโตอยู่

    ภาพใหญ่ของกองทุน ETF มีทั้งการลงทุนแบบ Active กับ Passive ส่วนที่เป็น Passive ก็จะลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500 หรือหุ้นไทยก็ SET50 ถ้าเป็นกองทุนก็จะมีเงินมากพอที่จะจัดพอร์ตลงทุน ซื้อหุ้นได้เยอะ อย่างหุ้นเทคโนโลยีราคาสูงอย่าง AMZN (Amazon) ราคาหลักพันเหรียญ เราลงทุนเองไม่ไหว

    Q: ให้เงินทำงานในหุ้น Mega Trend กับ Thematic

    A: ผมได้คุยกับทีมงาน Jitta Wealth เพราะได้ศึกษามาแล้วว่า นักลงทุนไทยอยากให้มีการลงทุนกองทุน ETF ต่างประเทศ ลงทุนในหุ้น Mega Trend จึงได้ออกแบบกองทุนส่วนบุคคลใน ETF ขึ้นมา โดยที่เราสามารถทำให้เงินลงทุนเริ่มต้นได้ที่ 100,000 บาท ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้ตั้งแต่ 1-5 ธีมธุรกิจ

    เพราะถ้าหากคุณอยากมีกองทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ คุณอาจจะต้องมีเงินลงทุนเริ่มต้นหลัก 10-20 ล้านบาท สถาบันการเงินถึงจะตั้งกองทุนส่วนบุคคลให้คุณ

    ทีมงาน Jitta Wealth เองก็ได้เลือกกองทุน ETF ตามธีมธุรกิจ โดยเรามีเกณฑ์การเลือกคือ มูลค่า AUM (Asset Under Management) สูง ค่าบริหารจัดการต่ำ และค่า Tracking Error ต่ำ 

    นอกจากนี้ เรามีระบบในการปรับพอร์ตลงทุนเพื่อให้มีวินัย เป็นไปตามแผนที่เลือกไว้ ลดความเสี่ยง เช่น พอร์ตลงทุน 4 ธีม ธีมละ 25% ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ธีมธุรกิจนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สัดส่วนเพิ่มเป็น 32% เราจะขายหน่วยลงทุนส่วนเกิน 7% ของกองทุน ETF ธีมนั้นมากระจายการลงทุนในธีมอื่นๆ ให้คงสัดส่วนเท่ากัน คือ 25%

    ผมมองว่า ถ้าเราเลือกกองทุน ETF ถูกต้อง มันสามารถทำให้พอร์ตลงทุนเติบโตได้ ต่อให้ผ่านช่วง Covid-19 ไปแล้ว ลงทุน Mega Trend ทั้งหมด แม้จะไม่ใช่ช่วงที่ราคาขึ้น แต่ผลประกอบการยังดีอยู่

    อย่างหุ้น Zoom ปีนี้ผลประกอบการดีขึ้นมาก รายได้โต 50-100% เพราะคนใช้งานเยอะขึ้น กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น 7 เท่า 

    อย่างธุรกิจกัญชา หรือ Cannabis น่าจับตามาก ผมก็ศึกษาอยู่ และมั่นใจว่าจะเป็น Mega Trend แน่นอน เพราะไทยเองก็ปลดล็อกให้กัญชาสามารถใช้ในทางการแพทย์ได้ ส่วนต่างประเทศนั้น จุดเปลี่ยนของกัญชามันเริ่มเมื่อปี 2561 แคนาดาเปิดให้สามารถสูบกัญชาเพื่อสันทนาการได้ ก็เหมือนกับเหล้าหรือบุหรี่ เวลาจะทำธุรกิจซื้อขายต้องขอใบอนุญาต สหรัฐฯ ก็มีกฎหมายอนุญาตในหลายๆ รัฐ 

    ผมมองว่า อนาคตกัญชา ก็จะเป็น Consumer Product เหมือนกับเหล้าหรือบุหรี่ ตลาดกัญชาทั่วโลกใหญ่มากประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีแค่ 10% ที่เป็นมูลค่าการซื้อขายกัญชาที่ถูกกฎหมาย ดังนั้นอุตสาหกรรมกัญชาใหญ่มาก เพราะสามารถนำไปแปรรูปได้เป็นใบกัญชาแห้ง น้ำมันสกัด เครื่องดื่ม มีทั้งที่เป็นสารเสพติดและไม่เสพติด 

    กองทุน ETF กัญชาตอนนี้มีลงทุนในสหรัฐฯ แคนาดา และอังกฤษ เมื่อปลดล็อกให้ถูกกฎหมายในแง่ของสันทนาการ รัฐบาลเองจะเก็บภาษีจากสินค้ากัญชาได้หลายร้อย หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐเลย

    Q: มั่นใจใน Jitta Wealth ในการเป็น Startup ด้าน Wealth Tech มากแค่ไหน
    A: ผมมองว่าการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ไม่ใช่การฝากเงิน แต่ความเสี่ยงจากการลงทุนคือ ความไม่รู้ ถ้ารู้หลักการ รู้ว่าจะลงทุนยังไง อย่าง Mega Trend ที่เกิดขึ้น ก็จะรู้ว่าเทรนด์โลกเป็นยังไง คุณจะมั่นใจในพอร์ตลงทุนของคุณ

    จุดมุ่งหมายของ Jitta Wealth ทำค่าธรรมเนียมบริการกองทุนส่วนบุคคลให้ต่ำที่สุด ถึงได้ 0.5% ต่อปี ทำให้คนได้มีโอกาสไปลงทุนต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมโอนเงินแค่ 500 บาท จ่ายครั้งเดียว ครั้งต่อๆ ไปก็ฟรี ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุนได้

    ผมมองเทรนด์การออมว่า คนมีเงินไม่พอตอนเกษียณ รัฐบาลเองต้องพัฒนาการให้การออมเงินระยะยาวด้วย เพราะตอนนี้คนไทยมีแค่ 10% เท่านั้นที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท แล้วอีก 90% ล่ะ ถ้าเริ่มเก็บเงินตั้งแต่เริ่มทำงาน มีรายได้ DCA (Dollar Cost Average) ไปเรื่อยๆ ผลตอบแทนจากการลงทุนมันจะทบต้นทบดอกจนเราสามารถเกษียณได้อย่างสบาย

    การลงทุน คือการจ่ายให้ตัวเองสบายขึ้น ส่วน Jitta Wealth อยากจะทำให้การลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ถ้าหลักการลงทุนดี ทุกคนก็วินวิน

    แม้กระทั่งแพลตฟอร์ม Jitta.com เราก็เขียนวิเคราะห์หุ้น 16 ประเทศ นำงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี มาให้นักลงทุนใช้ดูหุ้นฟรีๆ โดยนำหลักการวิเคราะห์หุ้นของนักลงทุนอย่าง Warren Buffett มาช่วยในการคัดเลือกหุ้นดี ในช่วง Covid-19 ปริมาณการเข้าใช้แพลตฟอร์มนี้โตขึ้น 77% 

    ลงทุนสบายใจ สไตล์ Passive

    กองทุน ETF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับการลงทุนในช่วงภาวะความไม่แน่นอนอย่างวิกฤต Covid-19 เพราะคุณไม่ต้องคอยเฟ้นหาหุ้นรายตัวหรือศึกษางบการเงิน หากหุ้นตัวนั้นไม่ได้เติบโตตามที่คาดไว้ คุณอาจจะขาดทุนได้

    หากลงทุนในกองทุน ETF ในกลุ่มหุ้น S&P 500 นั่นหมายความว่า คุณได้ลงทุนในหุ้น 500 บริษัทในดัชนี S&P ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี เพราะหากบริษัทใดบริษัทหนึ่งผลประกอบการไม่ดี ก็ยังบริษัทอื่นๆ ที่ยังสามารถทำรายได้ดีอยู่ พอร์ตลงทุนของคุณจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

    ที่สำคัญ คือ กองทุน ETF เน้นสร้างผลตอบแทนเป็นไปตามทิศทางของดัชนีตลาด เป็นลักษณะการลงทุนแบบ Passive ซึ่งในระยะยาวแล้ว พอร์ตลงทุนของคุณจะไม่ผันผวนมากนัก

    ในช่วงที่เกิดวิกฤตทั่วโลกอย่าง Covid-19 เป็นตัวเร่งที่ชี้เห็นว่า การใช้เทคโนโลยีมีความสำคัญมาก ความเป็นดิจิทัลและออนไลน์ มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วโลกในภาวะที่ยังมีโรคระบาดแบบนี้

    Mega Trend ในทศวรรษต่อไปคงหนีไม่พ้นการใช้เทคโนโลยีอย่าง Cloud Computing FinTech หรือเกมและ E-sport ขณะที่ในอุตสาหกรรมค้าปลีก E-commerce ก็กำลังแทรกซึมในทุกธุรกิจ ใครไม่มีแพลตฟอร์มค้าขายออนไลน์ ธุรกิจจะโตช้ากว่าใครเพื่อน 

    หลังจากวิกฤต Covid-19 คลี่คลาย คุณสามารถมั่นใจได้ว่า ธุรกิจ Healthcare ยังไปได้อีกไกล  เพราะความต้องการวัคซีน และสังคมคนสูงวัยในอนาคต ธุรกิจกัญชากำลังมีบทบาทในทางการแพทย์มากขึ้นอีกด้วย

    หากต้องการลงทุนแบบ Passive ใน Mega Trend ใหญ่ๆ ที่กำลังมาแรง ผ่านกองทุน ETF ทาง Jitta Wealth มีบริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth Thematic ที่จะช่วยบริหารจัดการและปรับพอร์ตให้คุณอัตโนมัติ คุณเพียงแค่เลือกธีม Mega Trend ที่มีแนวโน้มเติบโตดีเท่านั้น สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://jittawealth.com/thematic 

    ลงทะเบียนรับความรู้การลงทุน passive

    รับความรู้การลงทุน passive ฟรี เพื่อเริ่มลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน

    Senior Content Editor