Table of Content

บทนำ

‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ โตไม่หยุด ฉุดไม่อยู่

Piyachart Maikaew

5 min read

  • 23 NOV 2020
  • Table of Content

    บทนำ

    ปี 2563 หรือ 2020 เรียกได้ว่า ทั้งพิษโควิด-19 รุมเร้าและการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ เป็นอย่างมาก

    หลังจากที่คนทั่วโลกต้องลุ้นตัวโก่งนานเกือบสัปดาห์ ในที่สุดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีก็ถึงบทสรุปเสียที ว่าตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนมือจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เป็น ‘โจ ไบเดน’ เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 แน่นอนว่า นโยบายในการขับเคลื่อนประเทศหลังจากนี้ ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    ในฐานะเป็นมหาอำนาจที่มีตลาดการเงินการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดและมีมูลค่า GDP มากที่สุด ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีมาตรการอะไร มีนโยบายแบบไหน หรือมีอะไรมากระทบเศรษฐกิจ ล้วนส่งผลกระเทือนไปทั่งโลก

    อย่างตอน ‘ทรัมป์’ คว้าชัยชนะและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ประกาศ ‘สงครามการค้า’ กับคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง ‘จีน’ ทันที เพื่อให้สอดคล้องตามนโยบาย ‘American First’ ที่ได้หาเสียงไว้ ส่งผลให้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ออกมาตรการกีดกันทางการค้ากับจีนและประเทศอื่นๆ ที่พบว่ามีตัวเลขขาดดุลการค้า รวมทั้งไทยเราก็ยังไม่ได้รับการยกเว้น

    แค่ ‘สงครามการค้า’ ประเด็นเดียว ก็ทำให้การค้าโลกต้องอกสั่นขวัญแขวนมาหลายปี จีนเองก็ต้องหามาตรการมาตอบโต้สหรัฐฯ ขณะที่บริษัทจีนหลายแห่งต้องหาฐานการผลิตใหม่ ไปในประเทศที่ไม่ได้ถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐฯ 

    มาวันนี้ ว่าที่ประธานาธิบดี ‘ ไบเดน’ ได้รับเลือกเข้ามาแทน ‘ทรัมป์’ พร้อมประกาศภารกิจแก้ปมความยุ่งเหยิงที่ ‘ทรัมป์’ ได้สร้างไว้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะนโยบายด้านผู้อพยพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการกลับเข้าร่วมปฏิญญาปารีส เพื่อต่อสู้กับปรากฏการณ์โลกร้อน การยกเลิกคำสั่งห้ามชาวมุสลิมบางกลุ่มเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ รวมไปถึงการจัดตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาโรคระบาดโควิด-19 อย่างจริงจัง ตามคำแนะนำของนักวิทยาศาสตร์ และที่ทำให้ทั้งโลกต้องลุ้นต่อคือ ‘สงครามการค้า’ จะเป็นอย่างไรต่อไป

    ทำความรู้จัก ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ 

    ‘มหานครนิวยอร์ค’ คือ ศูนย์กลางตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ที่มี Market Cap สูงถึง 38.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ1 ตามรายงานข่าว วันที่ 13 ตุลาคม โดยมีตลาดหุ้นใหญ่ๆ 2 แห่ง คือ New York Stock Exchange (NYSE) กับ Nasdaq Stock Market

    NYSE มีอีกชื่อเรียกว่า ‘The Big Board’ เป็นตลาดหุ้นแรก และเก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯ ก่อตั้งเมื่อ 17 พฤษภาคม 2335 มี Market Cap ณ สิ้นปี 2562 ที่ 22.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แน่นอนว่า NYSE คือ ตลาดหุ้นที่มีขนาด Market Cap ใหญ่ที่สุดของโลก2

    การซื้อขายหุ้นของ NYSE คือ หลักทรัพย์จะถูกซื้อขายกันผ่านนายหน้าค้าหุ้นโดยตรง เรียกว่า Over The Counter (OTC) ใช้วิธีการประมูล ขึ้นอยู่กับคนที่เสนอราคาซื้อสูงสุดกับคนที่เสนอราคาขายต่ำสุด ส่งผลให้เงื่อนไขการซื้อขายใน NYSE เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะเป็นการตกลงราคาผ่านนายหน้า ซึ่งย่อมต้องให้ราคาซื้อหรือราคาขายที่ดีให้แก่นายทุนหรือผู้ซื้อรายใหญ่ จึงเกิดมีความไม่เป็นธรรมในบรรดานักลงทุนรายเล็กๆ3

    ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นจุดกำเนิดของตลาดหุ้น Nasdaq ในเวลาต่อมา ก่อตั้งเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2514 มี Market Cap เป็นอันดับที่ 2 ของโลกที่ 10.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และถูกจัดว่า เป็นตลาดหุ้นแห่งแรกในโลกที่มีการซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์4

    Nasdaq เป็นตลาดหุ้นที่มีการซื้อขายผ่านตัวกลาง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการส่งคำสั่งซื้อขาย จึงเป็นที่มาของการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ และต้องการเป็นตลาดหุ้นที่มีความโปร่งใสให้นักลงทุนทุกกลุ่ม5

    ด้วยความที่เป็นตลาดหุ้นที่ถือกำเนิดมาในยุคที่ระบบคอมพิวเตอร์และไอทีต่างๆ กำลังได้รับการพัฒนา จึงทำให้ Nasdaq เป็นแหล่งจดทะเบียนหุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก รวมทั้งบริษัทเมกะเทรนด์หน้าใหม่ๆ ต่างก็สามารถเข้ามาจดทะเบียนซื้อใน Nasdaq ได้ เนื่องจากเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ต่างๆ เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจรายเล็กรายกลางที่มีขนาดทรัพย์สินไม่ใหญ่มาก

    แม้ว่า NYSE จะเป็นตลาดหุ้นที่มีมานาน และมีบริษัทเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ จดทะเบียนซื้อขายในตลาดนี้ รวมทั้งยังมี Market Cap รวมใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อเปรียบเทียบกระดาน Nasdaq จะเห็นได้ว่า Market Cap ของหุ้นใน Nasdaq บางตัวมี Market Cap สูงกว่าหุ้นใน NYSE ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังเกาะกระแสเมกะเทรนด์ของโลก 

    นอกจากนี้ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ยังมีดัชนีอ้างอิงหลักๆ อีก 3 ตัวที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ติดตาม เพื่อดูทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น เพราะไม่ว่าดัชนีทั้ง 3 ตัวนี้จะปรับขึ้นหรือลง ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบไปยังดัชนีตลาดหุ้นทั้งโลก

    ดัชนีอ้างอิง 2 ตัวแรก เป็นดัชนีมีที่ S&P Dow Jones Indices จัดทำขึ้นมา นั่นก็คือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) และ S&P 500 

    สำหรับ DJIA เป็นดัชนีอ้างอิงของหุ้นขนาดใหญ่ 30 ตัวใน NYSE และ Nasdaq ที่ไม่ได้วัดที่ Market Cap ของหุ้นตัวนั้นๆ แต่การวัดด้วยราคาของหุ้นเป็นหลัก (Price-weighted Index) ปัจจุบันมีหุ้นจาก Nasdaq อยู่ 6 ตัวอยู่ใน DJIA ส่วนที่เหลือมาจากกระดาน NYSE 

    อย่างไรก็ตามหลายคนมองว่า DJIA อาจจะไม่ได้สะท้อนภาพรวมการเคลื่อนไหวของ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ได้เท่าดัชนีอ้างอิงอื่นๆ เพราะมีแค่หุ้น 30 บริษัทเท่านั้น ส่วน Market Cap รวมสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 8.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐุ6

    ดัชนีอ้างอิงที่จัดทำโดยหน่วยงานเดียวกัน คือ S&P 500 ที่วัดมาจากความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น และ Market Cap จาก 500 บริษัทบนกระดานของ NYSE และ Nasdaq ส่วน Market Cap รวม ณ เดือนสิงหาคม อยู่ที่ 30.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หลายคนจึงมองว่า ดัชนี S&P 500 มีความเคลื่อนไหวและสะท้อนทิศทางของ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ได้ครบถ้วน

    นอกจากนี้ 10 อันดับแรก บริษัทใหญ่ในดัชนี S&P 500 กินสัดส่วนถึง 26% ของ Market Cap ดัชนีตัวนี้ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (Google), Facebook, Johnson & Johnson, Berkshire Hathaway, Visa, Procter & Gamble และ JPMorgan Chase

    บริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 มีการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องมา 25 ปี หรือนานกว่านี้ก็จะเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 Dividend Aristocrats7

    ดัชนีอ้างอิงอีกตัวเป็นของกระดาน Nasdaq ที่เรียกว่า Nasdaq Composite (IXIC) โดยวัดจาก Market Cap ของหุ้นบนกระดาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นหุ้นเทคโนโลยีนั่นเอง

    นอกจากนี้ยังมี Nasdaq-100 คือ หุ้นขนาดใหญ่ 100 บริษัทที่ไม่ใช่ธุรกิจการเงิน ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 90% ในดัชนี Nasdaq ด้วย 

    สำหรับปี 2563 เรียกได้ว่า Nasdaq ได้สร้างสถิติครั้งใหญ่ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังโดนพิษโควิด-19 เล่นงาน โดยวันที่ 23 มีนาคม ดัชนี Nasdaq ทำจุดต่ำสุดที่ 6,860.67 จุด ซึ่งเกิดขึ้นกับดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นเดียวกัน

    แต่ใช้เวลาไม่นาน ตลาดหุ้นทั่วโลกก็พลิกฟื้นขึ้นมาในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี สำหรับ Nasdaq นั้น พลิกบวกจนทะลุ 10,000 ครั้งแรกในวันที่ 9 มิถุนายน และพุ่งสู่ 11,000 ครั้งแรกในวันที่ 6 สิงหาคม8

    จุดสูงของ Nasdaq ในปี 2563 คือวันที่ 2 กันยายน ปิดที่ 12,056.44 จุด เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีตอนเปิดศักราชใหม่ที่ 9,092.19 จุด เพิ่มขึ้นมาถึง 32.6% เรียกได้ว่าดัชนี Nasdaq ปีนี้ สามารถสร้างรากฐานได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ

    สำหรับกระดานของ NYSE นั้น ทำจุดต่ำสุดในวันเดียวกัน คือ 23 มีนาคม ที่ 8,777.38 ส่วนจุดสูงสุด เกิดขึ้นวันที่ 17 มกราคม ที่ 14,183.20 จุด ก่อนที่สหรัฐฯ จะเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 และภายหลังจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีความชัดเจนกับกระแสข่าวเรื่องวัคซีนโควิด-19 ดัชนีของกระดาน NYSE อยู่ที่ 13,611.65 ในวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

    ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ กับ ‘เศรษฐกิจสหรัฐ’ สวนทางกัน

    จากการที่ดัชนี Nasdaq ทำสถิติครั้งใหญ่ในปี 2563 นั่นเป็นภาพสะท้อนว่า ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ปัจจุบันกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยหุ้นเทคโนโลยีเพียงไม่กี่บริษัท ขณะเดียวกันก็มีการตั้งข้อสังเกตโดยนักเศรษฐศาสตร์ รางวัลโนเบล ‘พอล ครุกแมน – Paul Krugman’ ผ่านหน้า Op-Ed (หน้าตรงข้ามบทบรรณาธิการ) ของ The New York Times ว่า  ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ กับ ‘เศรษฐกิจสหรัฐ’ ไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย

    เพราะในจังหวะที่ ‘เศรษฐกิจสหรัฐ’ กำลังย่ำแย่ เพราะคนว่างงานในสหรัฐฯ หลายล้านคนยังไม่ได้งานในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ส่วนสวัสดิการว่างงานเพิ่มเติมในช่วงโควิด-199 ก็หมดอายุไปแล้ว แต่ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ยังคงทะยานขึ้นมาได้ ด้วยอานิสงส์ธุรกิจเทคโนโลยีที่แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากพิษโควิด-19 เลย ผลประกอบการไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ ยังคงออกมาเติบโตสวยงาม

    หลักการที่ว่า ‘ถ้าเศรษฐกิจขาลง ตลาดหุ้นก็จะเป็นขาลงไปด้วย’ อาจจะไม่ใช่กับ ‘สหรัฐอเมริกา’ เพราะ 2 ปัจจัยนี้ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นหมายความว่า ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตอนนี้มีธุรกิจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ทำรายได้เติบโตมหาศาล กำลังรับบทบาทสำคัญขับเคลื่อนตลาดหุ้นและดัชนี Nasdaq ให้เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

    จะเห็นได้จากการที่ Apple เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วย Market Cap ทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยใช้เวลาเพียง 2 ปีนิดๆ จาก Market Cap 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561

    ในวันที่ 31 กรกฎาคม Apple ยังขึ้นแท่นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่ามาที่สุดในโลก แซงหน้า Saudi Aramco ไปแล้ว10

    ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ที่ได้รับผลกระทบระยะสั้นจากโควิด-19 และยังทำผลงานได้ดีในไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา แต่ราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวขึ้นเท่าไหร่ เนื่องจากนักลงทุนต่างพากันจับจ้องหุ้นเทคโนโลยี จึงกลายเป็นจังหวะดีที่จะเข้าไปลงทุนใน “ธุรกิจที่ดี ในราคาที่เหมาะสม” เหล่านี้ สไตล์ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)

    ทั้งนี้ทั้งนั้น เรายังไม่สามารถตัดประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี และนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ หลังจากนี้ก็ยังต้องติดตามต่อไป เพราะยังมีผลต่อความเคลื่อนไหวระยะสั้นของ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ เช่นเดียวกัน

    นี่คือข้อมูลภาพใหญ่ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เรารวบรวมมา เพื่อให้เห็นความน่าสนใจของตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่ยังเติบโตได้ท่ามกลางความเปราะบางของเศรษฐกิจในประเทศ

    หากคุณมองว่า ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ยังมีอนาคต และความเป็นมหาอำนาจของโลกจะสร้างโอกาสในการลงทุนระยะยาว ก็เริ่มลงทุนได้ไม่ยาก ผ่านกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth Thematic ที่ให้คุณเลือกลงทุนธีม ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ผ่าน Schwab U.S. Large-Cap ETF (SCHX)

    ซึ่งการลงทุน ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ผ่าน SCHX ถือเป็นการลงทุนในหุ้นที่มี Market Cap สูง รวม 750 บริษัท ทั้งใน NYSE และ Nasdaq เช่น หุ้นเทคโนโลยีอย่าง Apple Microsoft Amazon Facebook และ Alphabet (Google) รวมไปถึง Berkshire Hathaway Johnson & Johnson Tesla และ Visa

    โดย SCHX จะอ้างอิงดัชนี Dow Jones U.S. Large-Cap Total Stock Market Index 

    และสิ่งที่ทำให้การลงทุนใน ‘หุ้นสหรัฐ’ ผ่าน Jitta Wealth Thematic เหนือกว่าการลงทุนโดยตรงใน กองทุน ETF ด้วยตนเอง หรือลงผ่านกองทุนรวมทั่วไป คือ เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนเพียง 100,000 บาท คุณสามารถจับคู่ลงทุนกับธีมการลงทุนอื่นๆ ได้สูงสุดถึง 5 ธีม ในพอร์ตลงทุนเดียวกัน เช่น หุ้นสหรัฐฯ หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยี หุ้นสุขภาพและการแพทย์ หุ้นอีคอมเมิร์ซ เพื่อกระจายความเสี่ยง เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากหลายๆ อุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ และลดความผันผวนของพอร์ตด้วย

    สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth Thematic ศึกษา หรือติดต่อสอบถามได้ที่เว็บไซต์ https://jittawealth.com/thematic 

    ลงทะเบียนรับความรู้การลงทุน passive

    รับความรู้การลงทุน passive ฟรี เพื่อเริ่มลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน

    1. China’s Stock Market Tops $10 Trillion First Time Since 2015 https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-10-13/china-s-stock-market-tops-10-trillion-for-first-time-since-2015
    2. New York Stock Exchange https://en.wikipedia.org/wiki/New_York_Stock_Exchange
    3. NASDAQ ตลาดหุ้นแห่งความคาดหวัง https://www.longtunman.com/9376
    4. Nasdaq https://en.wikipedia.org/wiki/NASDAQ
    5. Nasdaq https://www.investopedia.com/terms/n/nasdaq.asp
    6. Dow Jones Industrial Average https://en.wikipedia.org/wiki/Dow_Jones_Industrial_Average
    7. S&P 500 Index https://en.wikipedia.org/wiki/S%26P_500_Index
    8. Nasdaq Composite https://en.wikipedia.org/wiki/NASDAQ_Composite
    9. Stocks Are Soaring. So Is Misery. https://www.nytimes.com/2020/08/20/opinion/stock-market-unemployment.html
    10. Apple becomes first U.S. company to reach a $2 trillion market cap https://www.cnbc.com/2020/08/19/apple-reaches-2-trillion-market-cap.html
    1. 2 Warren Buffett ETFs to Stock Up On in 2023 https://www.fool.com/investing/2023/01/19/2-warren-buffett-etfs-to-stock-up-on-in-2023/
    2. 1 Warren Buffett ETF That Could Turn $300 Per Month Into $1 Million https://www.nasdaq.com/articles/1-warren-buffett-etf-that-could-turn-%24300-per-month-into-%241-million
    3. VOO – S&P500 ETF https://institutional.vanguard.com/investments/product-details/fund/0968
    4. Vanguard S&P500 ETF https://etfdb.com/etf/VOO/#etf-ticker-profile
    5. SPDR® S&P 500® ETF Trust https://www.ssga.com/us/en/individual/etfs/funds/spdr-sp-500-etf-trust-spy
    6. How SPY Reinvented Investing: The Story of the First US ETF jitta.co/43V3M2r
    7. SPDR S&P500 ETF Trust https://etfdb.com/etf/SPY/#etf-ticker-profile
    8. Warren Buffett’s Directive for His Wife’s Assets https://www.colonialriver.com/blog/warren-buffetts-directive-for-his-wifes-assets

    Senior Content Editor