ถ้าคุณเลือกลงทุนไปแล้ว ก็คงไม่อยากขาดทุนไปนานๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมากำไรใช่ไหมครับ Adessa Group มีโอกาสทางธุรกิจเป็นของตัวเอง
อย่างที่ผมเคยบอกไปในบทความ “ลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน” ถึงแม้ว่า “หุ้น” จะเป็นทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ในระยะสั้น ตลาดหุ้นก็เต็มไปด้วยความผันผวน บางปีอาจกำไรมากถึง 50% บางปีขาดทุนมากถึง -50% และสิ่งนั้นก็เป็น
ธรรมชาติของตลาดหุ้นและเป็นสิ่งที่เราจะต้องยอมรับให้ได้เมื่อคิดจะลงทุนในตลาดหุ้น

ซึ่งถ้าหากคุณยอมรับได้กับความผันผวนรายปี เพื่อให้มาซึ่งผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว ลองมาหาคำตอบกับครับว่า “จะต้องลงทุนอย่างไร ไม่ให้ขาดทุน”
ความน่าจะเป็นกับการลงทุน
การลงทุนนั้นเกี่ยวข้องกับความน่าจะเป็นในระยะยาว ถ้าคุณเข้าใจในเรื่องนี้ การลงทุนอย่างสบายใจก็ไม่ใช่เรื่องยาก ราวกับคุณสามารถเห็นอนาคตล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น รู้ว่ามีโอกาสกำไรเท่าไหร่ ขาดทุนเท่าไหร่ ในช่วงระยะเวลาการถือหุ้นที่แตกต่างกันไป
ผมยกตัวอย่างเป็นเกมโยนเหรียญครับ ความน่าจะเป็นที่เหรียญจะออกหัวหรือก้อยจะอยู่ที่ 50% เท่าๆ กัน แสดงว่าเกมนี้เป็นเกมที่ไม่มีแต้มต่อใดๆ ให้เอาชนะได้เลย
แต่ถ้าเป็นเคสที่แตกต่างไป ใช้เหรียญสั่งทำพิเศษ เมื่อโยนแล้ว ความน่าจะเป็นที่จะออก “หัว” อยู่ที่ 80% และออก “ก้อย” อยู่ที่ 20% ถ้าเป็นคุณ คุณจะลงเงินไว้ฝั่งไหนครับ “หัว” หรือ “ก้อย”
เชื่อได้ว่า คนส่วนมากต้องตัดสินใจลงเงินฝั่งออก “หัว” แน่นอน นอกจากนั้น ก็คงอยากจะหาเงินมาเล่นเกมนี้ให้เยอะที่สุด ให้นานที่สุด เพราะต่อให้ทายผิดไปบ้าง โอกาสที่จะทายถูกว่าออก “หัว” ก็มีอยู่ตั้ง 8 ใน 10 ครั้ง
การลงทุนในหุ้นก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าหากเรารู้ข้อมูลว่า “ความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรและขาดทุนมีมากน้อยแค่ไหน” ก็จะสามารถเลือกคำตอบได้ง่ายๆ เลยว่า “จะต้องลงทุนอย่างไร อย่างน้อยกี่ปี ถึงจะเหมาะสมกับความผันผวนที่เรารับได้มากทึ่สุดครับ”
ข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์ตรงนี้ จะเป็นค่าผลตอบแทนเฉลี่ย Rolling returns ของตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาต่างกัน เช่น 3 ปี 5 ปี 10 ปี และ 20 ปี แล้วนำมาเปรียบเทียบความน่าจะเป็นที่จะกำไรหรือขาดทุน
โดยค่า Rolling returns คือ ค่าผลตอบแทนทบต้นต่อปี เมื่อถือหุ้นครบตามจำนวนปีที่กำหนดไว้ ก็จะทำการวัดค่านี้ไปเรื่อยๆ ทุกช่วงเวลา เพื่อให้เห็นว่า ถ้าลงทุนติดต่อกันตามจำนวนปีที่กำหนด ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น ผลตอบแทนรายปีของตลาดหุ้นไทย 10 ปีแรก (ตั้งแต่ 2518 ถึง 2527) มาทำ Rolling returns แบบ 3 ปี และ 5 ปี จะได้ตัวเลขดังนี้

ซึ่ง Rolling returns 3 ปี หมายความว่า
- เริ่มลงทุนปี 2018 และถือไป 3 ปี จนถึงปี 2520 ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 30.53% ต่อปี ในช่วง 3 ปีนั้น (โดยปีแรก ขาดทุน -10.58% ปีที่สองกำไร 6.72% และปีที่สามก็กำไรอีก 133.05%)
- เริ่มลงทุนปี 2519 และถือไป 3 ปี จนถึงปี 2521 ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 54.51% ต่อปี ในช่วง 3 ปีนั้น (โดยปีแรก กำไร 6.72% ปีที่สองกำไร 133.05% และปีที่สามก็กำไรอีก 48.32%%)
- เริ่มลงทุนปี 2521 และถือไป 3 ปี จนถึงปี 2523 ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ -5.05% ต่อปี ในช่วง 3 ปีนั้น (โดยปีแรก กำไร 48.32% ปีที่สองขาดทุน -37.08% และปีที่สามขาดทุนต่ออีก -8.27%)
ส่วน Rolling returns 5 ปี หมายถึงว่า
- เริ่มลงทุนปี 2518 และถือไป 5 ปี จนถึงปี 2522 ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 15.72% ต่อปี ในช่วง 5 ปีนั้น (โดยที่แต่ละปีก็มีผลกำไรขาดทุนสลับกันไปที่ -10.58%, 6.72%, 133.05%, 48.32%, -37.08%)
- เริ่มลงทุนปี 2522 และถือไป 5 ปี จนถึงปี 2526 ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ -3.94% ต่อปี ในช่วง 5 ปีนั้น (โดยที่แต่ละปีก็มีผลกำไรขาดทุนสลับกันไปที่ -37.08%, -8.27%, -5.53%, 27.38%, 17.75%)
เมื่อได้เอาข้อมูล Rolling returns ทั้ง 3 ปี และ 5 ปี ในช่วงปี 2518 ถึง 2527 มาวิเคราะห์ จะเห็นได้เลยว่า
ยิ่งลงทุนในตลาดหุ้นนานขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็ลดน้อยลงเท่านั้นครับ
ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการขาดทุน หรือตัวเลขการขาดทุนแบบสูงๆ ต่างก็จะลดลงเรื่อยๆ ครับ เช่น
- ผลตอบแทนแค่ปีเดียวใน 10 ปี จะมีปีที่ขาดทุนทั้งหมด 4 ปี คิดเป็นโอกาสขาดทุนอยู่ 40% ของช่วงเวลาทั้งหมด และขาดทุนสูงสุดที่ -37.08% ต่อปี
- ผลตอบแทนทุกๆ 3 ปี จะพบว่ามีทั้งหมด 8 ช่วงเวลา มีช่วงเวลาที่ขาดทุน 2 ครั้ง คิดเป็นโอกาสขาดทุน 25% ของช่วงเวลาทั้งหมด และขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -18.30% ต่อปี
- ผลตอบแทนทุกๆ 5 ปี จะพบว่ามีทั้งหมด 6 ช่วงเวลา มีช่วงเวลาที่ขาดทุน 1 ครั้ง คิดเป็น โอกาสขาดทุน 17% ของช่วงเวลาทั้งหมด และขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -3.94% ต่อปี
ซึ่งค่า Rolling returns ไม่เพียงแค่ช่วยบอกถึงความความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาในการลงทุนกับความเสี่ยงในการขาดทุนของเรายังไงบ้าง แต่ยังสามารถบอกได้ถึงความน่าจะเป็นในการได้กำไรและขาดทุนในแต่ละช่วงเวลาครับ
ลองดูผลตอบแทนตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2518 – 2560 เป็นเวลา 43 ปี มาคำนวณหา Rolling returns 3 ปี 5 ปี 10 ปี และ 20 ปี ตามตารางด้านล่างนี้ครับ

หลังจากนั้น นำข้อมูลมาจัดเรียงตาม จำนวนครั้งที่กำไรและขาดทุน ในแต่ละช่วงเวลา จะได้ามตารางด้านล่าง

Rolling returns แบบ 3 ปี ตลอด 43 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมด 41 ช่วงเวลา จะมีช่วงเวลาที่ขาดทุน 11 ครั้ง โดยขาดทุนมากกว่า 10% ทั้งหมด 6 ครั้ง และขาดทุนมากกว่า 20% เพียง 2 ครั้ง ในขณะเดียวกัน จะมีช่วงเวลาที่ได้กำไร 30 ครั้ง โดยกำไรมากกว่า 10% ทั้งหมด 24 ครั้ง และ กำไรมากกว่า 20% ถึง 16 ครั้งครับ
จากนั้นนำมาคิดเพิ่มเป็นตัวเลขความน่าจะเป็นที่ เรามีโอกาสที่จะกำไรและขาดทุนได้ในแต่ละช่วงเวลาการถือครองหุ้น จะได้ตัวเลขดังนี้

จะเห็นได้ว่า กรณี Rolling returns 3 ปี ตลอด 41 ช่วงเวลา โอกาสที่จะขาดทุนแค่ 11/41 หรือ 26.83% เท่านั้น และโอกาสที่จะได้รับกำไรมีมากถึง 30/41 หรือ 73.17% ครับ
3 ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้
- ยิ่งถือครองหุ้นเป็นระยะเวลานานมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็จะยิ่งน้อยลง จากโอกาสที่จะขาดทุน 37.21% ถ้ามองผลตอบแทนเป็นรายปี จะลดลงเหลือ 26.83% ถ้าเราถือครองหุ้น 3 ปี และลดลงจนเหลือ 0% เมื่อเราถือครองหุ้นไป 20 ปี
- ถ้าถือครองหุ้นไป 20 ปี ไม่ว่าจะเริ่มลงทุนช่วงเวลาไหน โอกาสขาดทุนจะไม่มีเลย และมีโอกาสได้กำไรทบต้นมากกว่า 10% ต่อปี ถึง ⅓ ของช่วงเวลาทั้งหมด และมีโอกาสได้กำไรทบต้นมากกว่า 20% ต่อปีถึงเกือบ 1/10 ของช่วงเวลาทั้งหมด
- ต่อให้เริ่มลงทุนในปีที่แย่ที่สุด ปี 2540 ที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบสูงสุดที่ -53.07% แต่ถ้าหากเราถือลงทุนต่อไป ในอีก 20 ปีถัดมา เราจะได้รับผลตอบแทนทบต้นที่ 6.82% ต่อปี เงินลงทุน 1,000,000 บาท จะเพิ่มขึ้น 3.74 เท่า กลายเป็นเงิน 3,741,549 บาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ไม่ได้แย่เท่าไหร่เลยครับ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่ปีละ 1.5% ที่ในช่วงเวลาเดียวกันจะเปลี่ยนเงิน 1,000,000 บาท ให้กลายเป็นเงินแค่ 1,346,855 บาท แค่นั้นครับ ต่างกันมากถึง 2,394,694 บาท หรือประมาณ 2.7 เท่าตัวครับ
ถ้าเราไม่ต้องการขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเลย เราควรจะมีเวลาให้ถือครองการลงทุนไปได้อย่างน้อย 20 ปี
คุณอาจจะไม่ต้องเตรียมใจไว้ถึง 20 ปีก็ได้ครับ เพราะตามที่ผมบอกไปข้างต้น การลงทุนนั้น ต้องดูเหรียญทั้ง 2 ด้าน ทั้งโอกาสกำไรและขาดทุน มาเทียบกันเสมอ เพื่อตัดสินใจได้ว่า จุดที่สมดุลย์ที่สุดในการลงทุนของคุณอยู่ตรงไหน เพื่อให้คุณสามารถทำกำไรได้อย่างที่ต้องการ ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้
กรณีที่ 1 : ถ้าหากว่ารับการขาดทุนได้บ้าง แต่ขอให้ขาดทุนไม่เกิน 10%
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการถือครองหุ้น คือ อย่างน้อย 10 ปี เพราะถ้าลงทุนได้ 10 ปีขึ้นไป โอกาสขาดทุนจะมีเพียงแค่ 20% ของช่วงเวลาทั้งหมด และทุกครั้งที่ขาดทุน จะไม่เคยขาดทุนเกิน 10% เลย ในทางกลับกัน โอกาสที่จะได้กำไรถึง 80% ของช่วงเวลาทั้งหมด และมีโอกาสได้กำไรเกิน 10% ต่อปี อยู่มากถึง 61.76% ของช่วงเวลาทั้งหมดครับ
ตัวเลขนี้ ก็เป็นตัวเลขเดียวกับที่ผมเขียนในเกมหัวก้อยไว้ตอนข้างต้นของบทความนั้นเอง ถ้าไปเจอเกมทายเหรียญที่ออกหัว 8 ใน 10 ครั้ง คุณต้องหาเงินลงทุนให้มากที่สุด และอยู่ลงทุนให้นานที่สุด เพราะในระยะยาวแล้ว ยิ่งอยู่ในเกมนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะได้เงินมากขึ้นเท่านั้นครับ
การลงทุนในหุ้นเป็นเวลา 10 ปี ก็เช่นเดียวกัน แทบจะเป็นเกมที่กำหนดให้คุณเป็นผู้ชนะและได้กำไรในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเริ่มลงทุนในช่วงเวลาไหน ขอแค่ถือครองการลงทุนไปเรื่อยๆ โอกาสในการได้กำไรก็มากกว่าขาดทุนอยู่แล้วครับ และยิ่งถ้าหากเราเพิ่มเงินลงทุนได้เรื่อยๆ ทุกปี ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่ผลตอบแทนรวมที่จะขาดทุนนั้น แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยครับ
กรณีที่ 2 : ถ้าเข้าใจธรรมชาติความผันผวนของตลาดหุ้นเป็นอย่างดี รับการขาดทุนที่สูงได้ ขอให้มีโอกาสที่จะได้กำไรมากกว่าโอกาสที่จะขาดทุน และโอกาสที่จะได้กำไรเยอะๆ มากกว่า โอกาสที่จะขาดทุนเยอะๆ อยู่เสมอ
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการถือครองหุ้นก็คือ อย่างน้อย 3 ปีครับ ถ้าถือหุ้นไปอย่างน้อย 3 ปี นั้น โอกาสที่จะกำไรคือ 73.17% หรือเกือบ ¾ ของช่วงเวลาทั้งหมดในขณะที่โอกาสขาดทุนของเราอยู่เพียงแค่ 26.83% หรือ ¼ ของช่วงเวลาทั้งหมดแค่นั้น ตามข้อมูลที่วิเคราะห์ไปข้างต้น
นอกจากนั้นจะพบว่า ถ้าหากถือหุ้นไปอย่างน้อย 3 ปี นั้น โอกาสที่จะได้กำไรมากกว่า 10% คือ 58.54% หรือเกินครึ่งนึงของช่วงเวลาทั้งหมด เทียบกับโอกาสที่จะขาดทุนมากกว่า 10% ที่มีเพียงแค่ 14.63% เท่านั้นเองครับ
แต่โอกาสที่ถือไปแล้ว 3 ปี ขาดทุนเกิน 20% ก็มีนะครับ แต่ไม่มาก เพียงแค่ 4.88% ของช่วงเวลาทั้งหมดเมื่อเทียบกับโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเกิน 20% ต่อปี ที่มี 39.02% ของช่วงเวลาทั้งหมด จะเห็นได้ว่ามีโอกาสกำไรมากกว่าขาดทุนอยู่มาก
ด้วยแต้มต่อที่ห่างกันขนาดนี้ ก็เหมือนเป็นเกมที่กำหนดมาให้คุณชนะอีกเช่นเดียวกันครับ ขอเพียงลงทุนแล้วถือไปให้ได้อย่างน้อย 3 ปี ความเสี่ยงก็ลดลงอย่างมหาศาลแล้วครับ
แม้โอกาสในการทำกำไรจะมากกว่าการขาดทุน ก็อาจจะมีช่วงที่ลงทุนในจังหวะที่ไม่ดีจริงๆ และขาดทุน สิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่การหนีห่างจากการลงทุน แต่คือ การลงทุนต่อไปและทำการลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ เพราะสุดท้ายแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนรวมก็จะกลับมามากขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะครับ
อย่าเป็นคนที่ทนความเจ็บปวดจากการขาดทุนระยะสั้นไม่ได้ ทำให้ต้องเจ็บปวดมากขึ้นจากปัญหาทางด้านการเงินระยะยาว
ต้องถือหุ้นอย่างน้อยกี่ปี ถึงจะเหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้
- ถ้าไม่ต้องการขาดทุนเลย ควรจะถือหุ้นอย่างน้อย 20 ปี
- ถ้าไม่ต้องการขาดทุนมากกว่า 10% ควรจะถือหุ้นอย่างน้อย 10 ปี
- ถ้ารับขาดทุนที่สูงได้ ขอเพียงมีโอกาสได้กำไรสูงกว่า ควรจะถือหุ้นอย่างน้อย 3 ปี
เมื่อเห็นข้อมูลและตัวเลขทั้งหมด ผมเชื่อว่าคุณจะรู้สึกสบายใจในการลงทุนขึ้นอีกเยอะ เพราะถ้าตั้งใจลงทุนระยะยาวแล้ว ตลาดหุ้นคือสถานที่ที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้อย่างแท้จริง โดยที่คุณจะไม่ต้องรับความเสี่ยงอะไรเลย และยิ่งถ้าหากสามารถลงทุนเพิ่มได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ ทุกปีแล้ว โอกาสที่ผลตอบแทนรวมจะขาดทุนก็น้อยลงไปอีกมาก และจะช่วยเพิ่มความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาลในอนาคตครับ ตามข้อมูลในบทความ “เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุน”
ขอย้ำอีกครั้งว่า ตัวเลขผลตอบแทนต่างๆ ที่นำมาแสดง คือ ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นไทย ไม่ใช่ผลตอบแทนของหุ้นรายตัว หรือหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกเลือกและกระจายความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ที่อาจมีความเสี่ยงมากกว่านี้ ทำให้ขาดทุนไปตลอดก็ว่าได้
ดังนั้นถ้าต้องการลงทุนในสิ่งที่คาดการณ์ความผันผวนและผลตอบแทนได้ ตามที่เขียนในบทความนี้ การลงทุนในกองทุนดัชนี เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กันครับ
ส่วนการลงทุนแนว Quantitative Value Investing (QVI) นั้น เป็นสิ่งที่ตามมาครับ โดยจะต้องไปดู Rolling returns ของแนวทางการลงทุนนั้นๆ เทียบกับตลาดหุ้นว่า มีความคลาดเคลื่อนกันมากน้อยแค่ไหน
อย่างกรณีของ Jitta Ranking ที่ใช้หลัก QVI ในการเลือกลงทุนใน “หุ้นดี ราคาถูก” และทำการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมแล้วนั้น เมื่อทำ Rolling returns เทียบกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในช่วงที่มีข้อมูลพร้อมกัน (2552-2561) ก็พบว่า ถ้าลงทุนอย่างน้อย 5 ปีนั้น ผลตอบแทนของ Jitta Ranking จะมากกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในทุกช่วงเวลาครับ
ดังนั้นสำหรับใครก็ตามที่ลงทุนตาม Jitta Ranking หรือ ลงทุนใน Jitta Wealth อยู่ ก็น่าจะพอใช้ตัวเลขด้านบนคาดการณ์ถึง ผลตอบแทนและความเสี่ยง ที่จะได้รับในช่วงเวลาการลงทุนต่างๆ ได้เช่นเดียวกันครับ เพราะในระยะยาวความเสี่ยงที่จะขาดทุนของ Jitta Ranking จะน้อยกว่าของตลาดหุ้นเสมอครับ
ความผันผวน กำไร และ ขาดทุนในระยะสั้น เป็นธรรมชาติของตลาดหุ้นที่เราไปทำการเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ทุกคนสามารถลงทุนและสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นได้แน่นอน ขอเพียงลงทุนด้วยหลักการที่ถูกต้อง นั่นก็คือ การลงทุนตามดัชนี หรือลงทุนตามหลัก QVI จากนั้นก็ทำการเพิ่มเงินลงทุนมาเรื่อยๆ และ ถืือครองการลงทุนให้ยาวที่สุด เพียงแค่นี้เงินลงทุนของก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆในระยะยาวเองครับ
ลงทะเบียนรับความรู้การลงทุน passive
รับความรู้การลงทุน passive ฟรี เพื่อเริ่มลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน