Table of Content

บทนำ

สูตรเลือกหุ้นมหัศจรรย์ Magic Formula โดย Joel Greenblatt – Episode 02

Arnon Pattanaanunsuk

5 min read

  • 26 MAY 2022
  • Table of Content

    บทนำ

    Wall Street

    ใน Passive Way Story ซีรีส์แรก Episode 02 จะเป็นการนำเสนอสูตรการเลือกหุ้นมหัศจรรย์ Magic Formula โดย Joel Greenblatt นักลงทุนระดับโลกที่พยายามทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นสูตรที่ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งาน และเข้าใจได้ง่าย เพียงแค่คุณต้องใช้ตัวเลขงบการเงินเพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น ก็สามารถทำให้คุณ ‘ได้ลงทุนในหุ้นดี ในราคาที่ถูก’

    Magic Formula ได้ถูกเขียนลงหนังสือการลงทุนขายดีอย่าง ‘The Little Book That Still Beats the Market’ ซึ่งต้นฉบับของสูตรดังกล่าว จะใช้ตัวเลขทางการเงิน 2 ตัว ประกอบไปด้วย

    • อัตราผลตอบแทนของกิจการ (Return on Capital: ROC)
      • ROC สามารถบ่งบอกถึงคุณภาพของบริษัท โดยพิจารณาจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้ ซึ่งหากหุ้นมี ROC สูงจะหมายความว่า ‘หุ้นมีคุณภาพดี’
    • ผลตอบแทนของกำไร (Earnings Yield)
      • Earnings Yield ช่วยบ่งบอกถึง ‘ความถูกของหุ้น’ โดยพิจารณาจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเทียบกับมูลค่าของบริษัท ซึ่งหากหุ้นมีค่า Earnings Yield สูง จะหมายความว่า ‘หุ้นมีราคาถูก’

    อย่างไรก็ตามตัวเลขงบการเงินอย่าง ROC และ Earnings Yield ค่อนข้างคำนวณออกมาได้ยาก ทำให้มีการปรับเปลี่ยนใช้ตัวเลขทางการเงินที่ง่ายมากยิ่งขึ้น ที่นักลงทุนทั่วไปสามารถคำนวณออกมาได้เอง หรือไปอ่านจากรายงานประจำปีของบริษัทได้ ทำให้เกิดเป็นสูตรใหม่ที่ใช้

    • อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE)
      • ROE จะบอกแนวโน้มการทำกำไรจากเงินลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น และเป็นตัวเลขทางการเงินที่ใช้บ่งบอกถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนของบริษัท ซึ่งยิ่งค่า ROE สูงหมายความว่า ‘หุ้นมีคุณภาพดี’
    • อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price to Earnings Ratio: P/E)
      • อัตราส่วนยอดฮิตที่ใช้สำรวจว่าหุ้นมีราคาถูกมากแค่ไหน โดยจะเปรียบเทียบระหว่าง ‘ราคาต่อหุ้น’ และ ‘กำไรสุทธิต่อหุ้น’ ซึ่งหน่วยจะออกมาเป็นเท่า เช่น หากคุณซื้อหุ้นราคา 100 บาท ที่มีกำไรสุทธิ 10 บาทต่อหุ้น อัตราส่วน P/E จะเท่ากับ 10 ซึ่งหมายความว่า คุณจะได้คืนทุนเมื่อถือหุ้นครบ 10 ปี ซึ่งยิ่งค่า P/E ต่ำจะหมายความว่า ‘หุ้นมีราคาที่ถูก’

    ในพอดคาสต์นี้เราจะใช้ตัวเลขทางการเงิน ROE และ P/E ในการคัดหุ้นดีราคาถูกเพื่อลงทุน ซึ่งการใช้สูตร Magic Formula คุณจำเป็นต้องไปจัดอันดับ ROE และ P/E ของหุ้นทุกบริษัทในตลาดหุ้น โดยเรียงลำดับแยกเป็น 2 ส่วน คือ ‘หุ้นที่มี ROE สูงที่สุด’ และ ‘หุ้นที่มี P/E ต่ำที่สุด’ จากนั้นให้นำอันดับ ROE และ P/E ของหุ้นนั้นมารวมกัน 

    ตัวอย่างการจัดอันดับหุ้นตามสัดส่วน ROE และ P/E ในสูตร Magic Formula

    • หุ้น A มีค่า ROE สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 และมีค่า P/E น้อยที่สุดเป็นอันดับ 1 ทำให้หุ้น B ได้คะแนนจากสูตร Magic Formula ไป 3 + 1 = 4 คะแนน
    • หุ้น B มีค่า ROE สูงที่สุดทำให้อยู่อันดับ 1 และมีค่า P/E น้อยที่สุดเป็นอันดับ 4 ทำให้หุ้น A ได้คะแนนจากสูตร Magic Formula ไป 1 + 4 = 5 คะแนน

    จากนั้นให้นำคะแนนนี้มาเรียงจาก น้อยที่สุด ไป มากที่สุด และให้เลือกลงทุนในหุ้น 30 บริษัทแรก ที่อยู่ในอันดับของสูตร Magic Formula ซึ่งจากตัวอย่างที่แสดงไป หุ้น A จะมีคะแนนน้อยกว่า B ทำให้อยู่ในอันดับที่สูงกว่า B นั่นเอง

    คำเตือน อย่าใช้สูตร Magic Formula กับหุ้นสถาบันการเงินและสาธารณูปโภค และหากพบหุ้นที่ สัดส่วน P/E ต่ำกว่า 5 เท่า ให้ตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดก่อนลงทุน เพราะเป็นไปได้ว่าข้อมูลอาจผิดเพี้ยน หากไม่มั่นใจว่าถูกต้องหรือไม่ ให้ลงทุนในหุ้นที่ P/E สูงกว่า 5 เท่าแทน

    อย่างไรก็ตามการรวบรวมหุ้นทั้งตลาด เพื่อมาจัดอันดับ ROE และ P/E เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่ข่าวดี คือ คุณไม่จำเป็นต้องไปจัดอันดับหุ้นทั้งหมดเอง เพราะเราได้ค้นหาจนพบกับเว็บไซต์ที่ช่วยจัดอันดับสูตร Magic Formula ให้กับคุณแล้ว ประกอบไปด้วย

    • หุ้นไทย ใช้เว็บไซต์: http://siamchart.com/
      • เลื่อนไปที่คำว่า Stock ด้านบนและกด ‘Stock List’ รอจนตารางรวมหุ้นขึ้นมา จากนั้นกดคำว่า Magic 1 สองครั้งจนเป็นสัญลักษณ์ลูกศรชี้ขึ้นสีแดง จะเป็นการจัดอันดับหุ้นตามสูตร Magic Formula โดยใช้อัตราส่วน ROE และ P/E 
    • หุ้นสหรัฐฯ ใช้เว็บไซต์: https://www.magicformulainvesting.com/
      • เป็นเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Joel Greenblatt เอง สมัครสมาชิกบนเว็บไซต์ให้เรียบร้อยจากนั้นกำหนดมาร์เก็ตแคปขั้นต่ำของหุ้นที่คุณต้องการลงทุน และเลือกจำนวนหุ้น 30-50 บริษัทที่คุณต้องการให้แสดงและกดคำว่า ‘Get Stocks’ ระบบจะแสดงหุ้นที่คุณต้องลงทุนในขึ้นมาตามจำนวนและมาร์เก็ตแคปที่คุณกำหนด

    การใช้สูตร Magic Formula คุณจำเป็นต้องมีวินัยในการขายหรือปรับพอร์ตลงทุนด้วย หากคุณถือหุ้นครบกำหนด 1 ปี ให้ไปสำรวจว่าหุ้นนั้นยังอยู่ในอันดับ Magic Formula หรือไม่ หากไม่อยู่ในอันดับแล้ว ให้ขายหุ้นทิ้งไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนและซื้อหุ้นใหม่ หรือ หากยังอยู่ในอันดับ ให้ถือหุ้นนั้นต่อไปได้อีก 1 ปี

    อย่างไรก็ตามในพอดคาสต์นี้ได้แนะนำวิธีการลงทุนอีกช่องทาง ที่ง่ายกว่า ละเอียดกว่า ครอบคลุมกว่า และพิสูจน์มาเป็นระยะเวลานานว่าสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับคุณได้เป็นอย่างดี คือการลงทุนโดยใช้เว็บไซต์ https://www.jitta.com/home สิ่งที่คุณต้องทำแค่สมัครสมาชิก และเลือกประเทศที่คุณต้องการลงทุน

    คุณสามารถประยุกต์การปรับพอร์ตจากสูตร Magic Formula เพื่อลงทุนใน Jitta Ranking Top 30 โดยเลือกหุ้น 30 บริษัทในประเทศที่คุณต้องการลงทุน และถือจนครบ 1 ปี  จากนั้นให้สำรวจว่าหุ้นกลุ่มนั้นยังอยู่ในอันดับ Jitta Ranking Top 30 หรือไม่ หากไม่อยู่ในอันดับแล้ว ให้ขายหุ้นทิ้งไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนและซื้อหุ้นใหม่ หรือ หากยังอยู่ในอันดับ ให้ถือหุ้นต่อไปได้อีก 1 ปี

    และนี่คือวิธีการคัดหุ้นเพื่อลงทุนด้วยสูตร Magic Formula และ Jitta ซึ่งเป็นอีกทางเลือกการลงทุนแบบง่ายๆ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำตามได้ โดยคุณสามารถฟังรายละเอียดและเนื้อหาเพิ่มเติมในพอดคาสต์ตอน ‘การเลือกหุ้นมหัศจรรย์ด้วยสูตร Magic Formula โดย Joel Greenblatt’ 

    คุณสามารถติดตามช่อง Passive Way Story เรื่องเล่าสนุกๆ พร้อมสาระความรู้เกี่ยวกับการลงทุน ที่จะทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่าย ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 10.00 น. ได้ที่


    การคำนวณอัตราผลดอกเบี้ยทบต้น

    การคำนวณอัตราผลตอบแทนกองทุน Gotham Asset Management ของ Joel Greenblatt ที่กล่าวถึงใน Passive Way Story ซีรีส์แรก Episode 02 มีรายละเอียดผลตอบแทนของแต่ละช่วงเวลาที่เล่าในซีรีส์ดังนี้

    • กองทุนสร้างผลตอบแทน +30% ต่อปี ในระยะเวลา 10 ปี 
    • กองทุนสร้างผลตอบแทน +23.8% ต่อปี ในระยะเวลา 20 ปี

    โดยปกติแล้วการคำนวณอัตราดอกเบี้ยทบต้นสามารถคำนวณได้ 2 รูปแบบ คือ 

    • การคำนวนอัตราดอกเบี้ยทบต้น โดยใช้ความถี่ทบต้นรายเดือน 
    • การคำนวนอัตราดอกเบี้ยทบต้น โดยใช้ความถี่ทบต้นรายปี 

    Passive Way Story เลือกใช้สูตรการคำนวณอัตราดอกเบี้ยทบต้น โดยใช้ความถี่ทบต้นรายเดือน เนื่องจากผลการดำเนินงานจากการลงทุนในกองทุนจะรวมเงินปันผลที่ใส่กลับไปลงทุนใหม่อีกครั้งด้วย 

    อย่างไรก็ตามการคำนวณอัตราดอกเบี้ยทบต้น จะไม่สามารถคำนวณผลลัพธ์ของการลงทุนออกมาได้แม่นยำ 100% แต่ด้วยวิธีการคำนวณและความถี่ที่ปรับใช้ จะทำให้ใกล้เคียงผลลัพธ์การลงทุนที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น สำหรับการคำนวณใช้ผลตอบแทนรายปีทั้ง 2 ช่วงเวลา ทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดังนี้

    • หากลงทุนใน Gotham Asset Management เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท ในอัตราผลตอบแทน +30% ต่อปี ระยะเวลา 10 ปี โดยใช้ความถี่ทบต้นรายเดือน
      • 100,000 x (1 + 30%/12)¹²⁰ = 1,935,815 บาท
    • หากลงทุนใน Gotham Asset Management เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท ในอัตราผลตอบแทน +23.8% ต่อปี ระยะเวลา 20 ปี โดยใช้ความถี่ทบต้นรายเดือน
      • 100,000 x (1 + 23.8%/12)²⁴⁰ = 11,143,168 บาท

    อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการเห็นตัวเลข การคำนวนอัตราผลตอบแทนรายปี โดยใช้ความถี่ทบต้นรายปี ทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดังนี้

    • หากลงทุนใน Gotham Asset Management เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท ในอัตราผลตอบแทน +30% ต่อปี ระยะเวลา 10 ปี โดยใช้ความถี่ทบต้นรายปี
      • 100,000 x (1 + 30%)¹⁰ = 1,378,585 บาท
    • หากลงทุนใน Gotham Asset Management เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท ในอัตราผลตอบแทน +23.8% ต่อปี ระยะเวลา 20 ปี โดยใช้ความถี่ทบต้นรายปี
      • 100,000 x (1 + 23.8%)²⁰ = 7,151,759 บาท 

    การคำนวณดอกเบี้ยทบต้นยังสามารถทำได้อีกหลายวิธีตามความถี่ของระยะเวลาที่เราต้องการคำนวณ ซึ่งประกอบไปด้วย ทบต้นรายวัน ทบต้นรายสัปดาห์ ทบต้นรายไตรมาส  ทบต้นรายครึ่งปี หรือแม้แต่ ทบต้นอย่างต่อเนื่อง

    ใน Passive Way Story ซีรีส์แรก Episode 03 เป็นต้นไป จะใช้วิธีการคำนวณดอกเบี้ยทบต้นความถี่ ‘ทบต้นรายปี’ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและเพื่อให้คุณเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น คุณสามารถเข้าไปคำนวณอัตราดอกเบี้ยทบต้น เพื่อหาผลตอบแทนจากการลงทุน โดยเลือกความถี่ในการทบต้นที่คุณต้องการได้ ผ่านเว็บไซต์ https://www.rapidtables.org/th/calc/finance/compound-interest-calculator.html


    คำศัพท์ที่ควรรู้

    รวมคำศัพท์ที่น่าสนใจใน Passive Way Story ซีรีส์ 8 เรื่องเล่าจาก Wall Street ลงทุนไม่พัง ต้องฟังทางนี้ Episode 02 – การเลือกหุ้นมหัศจรรย์ด้วยสูตร Magic Formula โดย Joel Greenblatt

    สูตรมหัศจรรย์ (Magic Formula) คือ สูตรหาหุ้นคุณภาพ โดยใช้เกณฑ์ ROE และ P/E โดยการเอาหุ้นมาเรียงลำดับกัน ตาม ROE แถวหนึ่ง และ P/E  อีกแถวหนึ่ง และนำลำดับที่ได้มาบวกกัน เพื่อได้หุ้นคุณภาพออกมา ที่คิดค้นโดย Joel Greenblatt ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารกองทุน Gotham Capital 

    อัตราผลตอบแทนของกิจการ (Return on Capital: ROC) คือ สัดส่วนทางการเงินโดยพิจารณาจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เทียบกับต้นทุนทั้งหมดที่ใช้ดำเนินกิจการ ซึ่งสามารถเรียกว่า ROC หรือ ROIC ก็ได้ 

    ผลตอบแทนของกำไร (Earnings Yield) คือ สัดส่วนกำไรต่อหุ้น หารด้วยราคาหุ้น เป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่า เงินทั้งหมดที่คุณซื้อหุ้น บริษัททำกำไรกลับมาได้เท่าไร กำไรนี้จะไม่ถูกส่งคืนให้ผู้ถือหุ้น แต่จะถูกเก็บเป็นกำไรสะสม 

    อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) คือ สัดส่วนทางการเงินที่เปรียบเทียบระหว่างกำไรสุทธิกับส่วนของเจ้าของ (เฉลี่ย) ซึ่งตัวเลขที่ออกมาจะเป็นตัววัดประสิทธิภาพของผู้ถือหุ้นว่าให้ผลตอบแทนเท่าไร 

    อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset: ROA) คือ สัดส่วนระหว่างกำไรสุทธิและสินทรัพย์รวม ผลที่ออกมาจะบอกว่าบริษัททำกำไรได้มากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับสินทรัพย์รวม 

    อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price to Earnings Ratio: P/E) คือ อัตราส่วนทางการเงินยอดนิยมของนักลงทุนสาย VI บอกถึงราคาเท่านี้ในปัจจุบัน จะคืนทุกในอีกกี่ปี หากกำไรบริษัทยังเท่าเดิม โดยคิดจาก ราคาหุ้น ต่อกำไรต่อหุ้น ซึ่งเป็นการนำราคาหุ้นมาเทียบกับความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัท

    Jitta.com คือ แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น เพื่อการลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) แสดงผลวิเคราะห์ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย คุณสามารถเจอ ‘บริษัทที่ยอดเยี่ยม ในราคาที่เหมาะสม’ ได้ง่ายๆ 

    Jitta Score คือ ค่าชี้วัดคุณภาพของธุรกิจ ให้คะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 10 ซึ่ง 10 แสดงถึงธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ทำกำไรได้ต่อเนื่อง มั่นคง 

    Jitta Line คือ เส้นแสดงมูลค่าที่เหมาะสมตามพื้นฐานของธุรกิจ โดยใช้การสร้างกระแสเงินสด และทรัพย์สินที่ผ่านมาเป็นตัวชี้วัด เป็นการคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจในอนาคต

    ลงทะเบียนรับความรู้การลงทุน passive

    รับความรู้การลงทุน passive ฟรี เพื่อเริ่มลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน

    นักเขียนอิสระ ผู้สนใจเรื่องการเงิน การลงทุนแบบเน้นคุณค่า และการลงทุนระยะยาว