Table of Content

บทนำ

ปันผลสำคัญอย่างไร ทำไมต้องลงทุนต่อ

Trawut Luangsomboon

5 min read

  • 30 SEP 2019
  • Table of Content

    บทนำ

    โดยปกติแล้ว เวลาเราลงทุนในทรัพย์สินอะไรสักอย่างนึง ก็คาดหวังว่าจะได้ดอกผลของการลงทุนกลับมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งเรียกว่าการให้เงินทำงาน ถ้า “เงินต้น” ยังอยู่ครบ และได้ดอกผลเรื่อยๆ จากทุกปี

    สำหรับการลงทุนใน “หุ้น” ดอกผลที่ได้รับ คือ “เงินปันผล” ซึ่งเป็นเงินที่บริษัทนำกำไรส่วนนึงที่เก็บสะสมไว้ ออกมาจ่ายให้กับผู้ที่ถือหุ้นของบริษัท โดยจะจ่ายออกมาเป็นเงินปันผลต่อหุ้น เช่น หุ้น A ราคาหุ้นละ 20 บาท มีการจ่ายปันผล 1 บาท เท่ากับว่าหุ้น A มีอัตราการจ่ายเงินปันผล 5%

    “คุณทราบไหมครับว่า โดยเฉลี่ยแล้วเงินปันผลที่เราได้จากการลงทุนในหุ้นนั้นมีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน และมีความสำคัญอย่างไรกับการลงทุนระยะยาว”

    เพื่อให้เราตัดสินใจตอบคำถามได้อย่างถูกต้องว่า “เราควรจะนำปันผลไปใช้จ่าย หรือ นำกลับไปลงทุนต่อดี”

    ในบทความ “ลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน” ผมเคยอธิบายว่า หุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด โดยผลตอบแทนของหุ้นจะมาจาก 2 ส่วนหลักๆ คือ

    1. กำไรที่เติบโตจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
    2. เงินปันผลที่บริษัทจ่ายออกมา

    ถ้าลองย้อนกลับไปดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในช่วง 43 ปีที่ผ่านมา (2518-2560) นั้น จะพบว่า

    1. ตลาดหุ้นในผลตอบแทนรวมเฉลี่ย 11.87% ต่อปี
      1. จากกำไรที่เติบโต 6.89% ต่อปี
      2. เงินปันผลที่จ่ายออกมา 4.98% ต่อปี

    จะเห็นว่าในระยะยาว ผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นสูงราวๆ เกือบครึ่งนึงของผลตอบแทนที่เราได้รับเลยครับ


    ผลตอบแทนของราคาหุ้น VS  ผลตอบแทนของเงินปันผล

    เมื่อมาดูให้ละเอียดขึ้น โดยแยกผลตอบแทนของราคาหุ้นและผลตอบแทนของเงินปันผลจากผลตอบแทนรวม จะพบว่าผลตอบแทนจากราคาหุ้นนั้น แม้ในระยะยาวจะเป็นไปตามกำไรของบริษัทที่เติบโตขึ้น แต่ในระยะสั้นก็มีความผันผวนบ้าง บางปีอาจจะ +50% บางปีอาจจะ -50% ก็ได้ ในขณะที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นมีแต่บวกอย่างเดียวและค่อนข้างสม่ำเสมอครับ

    สรุปได้ว่า ความผันผวนของผลตอบแทนรวมจากตลาดหุ้นในแต่ละปีมาจากส่วนของราคาหุ้น หรือมาจากอารมณ์นักลงทุนในตลาดหุ้นที่เหวี่ยงขึ้นลงสลับกันไปมาเป็นหลัก แต่เงินปันผลนั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนได้รับแน่นอนจากตลาดหุ้นทุกๆ ปี ขึ้นอยู่กับว่าจะได้มากหรือได้น้อยเท่านั้นเองครับ

    ถ้าเอาข้อมูลเฉพาะในส่วนของผลตอบแทนเงินปันผลจากตลาดมาวิเคราะห์ จะพบว่าอัตราเงินปันผลเฉลี่ยตลอด 43 ปี อยู่ที 5.27%  ต่อปี แม้จะมีความผันผวนในแต่ละปีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นบวกทุกปี (มากที่สุด 13.46% น้อยที่สุด 0.79%)

    ซึ่งถ้าดูอัตราการจ่ายเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยช่วง 40 ปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็น 4 ช่วง ช่วงละ 10 ปี จะพบว่า

    • 2521 – 2530 : อัตราปันผลเฉลี่ย 8.25%
    • 2531 – 2540 : อัตราปันผลเฉลี่ย 3.53%
    • 2541 – 2550 : อัตราปันผลเฉลี่ย 3.72%
    • 2551 – 2560 : อัตราปันผลเฉลี่ย 4.43%

    หากตัดช่วงปี 2521-2530 ที่เป็นช่วงตลาดหุ้นพึ่งเริ่มก่อตั้ง และอาจจะให้อัตราเงินปันผลที่สูง เนื่องจากตลาดหุ้นโดยรวมอาจจะยังมีราคาต่ำอยู่มากออกไป จะพบว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในช่วงระหว่าง 3.5% – 4.4% อย่างสม่ำเสมอเลยครับ ซึ่งพอจะคาดการณ์อนาคตได้ว่า 10-20 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยน่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลราวๆ เดียวกัน

    ถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่ไม่น้อยเลย ถ้ามองว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนรวมประมาณ 10% ต่อปี เท่ากับว่า ผลตอบแทนเงินปันผลนั้นจะคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของผลตอบแทนในแต่ละปีของเราเลยทีเดียวครับ

    “เงินปันผล” นั้นเป็น “ส่วนสำคัญ” ของผลตอบแทนระยะยาว ถ้าหากเรา “ไม่” นำเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปีกลับไปลงทุนต่อ ในระยะยาวความมั่งคั่งของเราจะหายไปมากมายมหาศาลเลยทีเดียว


    ลงทุนต่อ VS เอาออกมาใช้

    คุณทราบไม่ครับว่า ถ้าเราไม่นำเงินปันผลไปลงทุนต่อ ผลตอบแทนจะหายไปมากแค่ไหน?

    1. นำเงินปันผลไปลงทุนต่อทั้งหมด

    สมมุติว่าลงทุน 10,000 บาท ในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2518 – 2560 โดยนำเงินปันผลกลับไปลงทุนต่อเรื่อยๆ เงิน 10,000 บาท จะโตขึ้น 124 เท่า เป็นเงิน 1,243,314 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นที่ 11.87% ต่อปี (อ่านบทความย้อนหลัง)

    2. นำเงินปันผลออกไปใช้ทั้งหมด

    แต่ถ้าทุกปีเรานำเงินปันผลที่ได้ออกไปใช้จ่าย และปล่อยให้เงินต้นเติบโตไปเรื่อยๆ ตามราคาหุ้น เงิน 10,000 บาท จะโตขึ้นเพียงแค่ 17 เท่า เป็นเงิน 175,371 บาทเท่านั้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นที่ 6.89% ต่อปี

    ความมั่งคั่งจะหายไปมากถึง  85% เลยครับ จากเงิน 1,243,314 บาท เหลือเพียงแค่ 175,371 บาท หายไปถึง 1,067,943 บาท และนี่เป็นผลกระทบระยะยาวที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เพียงแค่นำเงินปันผลไม่กี่เปอร์เซ็นต์ออกมาใช้ในแต่ละปี จะสร้างความแตกต่างได้มากขนาดนี้ในระยะยาว

    3. นำเงินปันผลออกไปใช้ 50%

    สมมุติว่าลงทุน 10,000 บาท ในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2518 – 2560 เหมือนเดิม แต่ทุกปีเรานำเงินปันผลมาใช้เพียงแค่ครึ่งเดียว ที่เหลืออีกครึ่งนึงนำไปลงทุนต่อ จะพบว่าหลังผ่านไป 43 ปี เงิน 10,000 บาทจะเติบโตขึ้น 47 เท่า เป็นเงิน 473,541 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นที่ 9.39% ต่อปี

    ซึ่งเมื่อเทียบกับการไม่นำเงินปันผลไปลงทุนเลย การนำปันผลครึ่งนึงกลับไปลงทุนต่อ ก็ทำให้เงินของเราโตขึ้นกว่าเดิมประมาณ 2.7 เท่าครับ จาก 175,371 บาท เป็น 473,541 บาท แต่ถ้าเทียบกับการนำเงินปันผลกลับไปลงทุนต่อทั้งหมดแล้ว ความมั่งคั่งของเราก็ยังหายไปกว่า 62% เลยทีเดียวครับ

    เพื่อเปรียบเทียบให้ยุติธรรมมากขึ้น รวมเงินปันผลที่จ่ายออกไปเข้ามาด้วย เพราะก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ได้รับออกมาเหมือนกัน (เพียงแต่มีการนำไปใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว และไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเราได้)

    จะเห็นได้ว่า แม้ว่าจะรวมเงินปันผลที่ได้รับระหว่างทางไปด้วยแล้วก็ตาม การไม่นำเงินปันผลไปลงทุนต่อ ก็ทำให้ความมั่งคั่งของเราหายไปอย่างมากในระยะยาวครับ

    “ความสุขจากการใช้เงินในระยะสั้นของเรา อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดทางการเงินในระยะยาว”

    คิดเล่นๆ ก็เหมือนเรามีความสุขกับการนำเงินปันผลไปใช้ระหว่างทาง 103,940 บาท โดยยอมแลกกับเงินที่เราจะได้ใช้ในอนาคตถึง 1,067,943 บาท ซึ่งเป็นเงินที่มากกว่าถึง 10 เท่า และเงินจำนวนนี้จะเป็นของเรา ขอเพียงแค่เราอดใจและนำเงินปันผลในแต่ละปีกลับไปลงทุนได้เรื่อยๆ ครับ

    อีกประเด็นนึงที่น่าสนใจ ถ้าเราลองเปรียบเทียบระหว่าง การนำเงินปันผลไปใช้แค่ครึ่งเดียว กับการนำเงินปันผลทั้งหมดไปใช้ เราจะพบว่า ในระยะยาวแล้วการนำเงินปันผลไปใช้แค่ครึ่งเดียวนั้น จะทำให้ทั้งเงินลงทุนเราเติบโตมากกว่า และเงินปันผลรวมก็มากกว่าด้วย นั่นก็เพราะยิ่งเงินลงทุนเราเติบโตมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้เงินปันผลมากขึ้นด้วย ทำให้เห็นว่า การปล่อยให้เงินลงทุนของเราเติบโตก่อนในช่วงแรกเป็นสิ่งสำคัญมากครับ


    อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราคิดยังไงกับคำถามเดิมของเราครับว่า เราควรนำเงินปันผลในแต่ละปีไปใช้ หรือ นำกลับไปลงทุนต่อดีครับ?

    จากข้อมูลตัวเลขทั้งหมดชี้ให้เราเห็นแล้วว่า ถ้าเราต้องการสร้างความมั่งคั่งสูงสุดระยะยาวจากตลาดหุ้นนั้น การนำเงินปันผลทั้งหมดกลับไปลงทุนต่อเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับความมั่งคั่งของเราได้อย่างมหาศาลในระยะยาวครับ

    ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ในที่นี้ สมมุติว่าเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงแค่ 10,000 บาทเท่านั้น จึงทำให้ความแตกต่างอยู่แค่หลักแสน หลักล้าน แต่ถ้าหากเราลงทุนเริ่มต้นที่ 1,000,000 บาท ความแตกต่างตรงนี้จะคิดเป็นเงินมากกว่า 100 ล้านบาทเลยทีเดียวครับ!

    และนี้ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth มีนโยบายในการนำเงินปันผลทั้งหมดกลับไปลงทุนต่อให้โดยอัตโนมัติ ทั้งหมดก็เพื่อสร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้กับนักลงทุนทุกคนในระยะยาวนั่นเองครับ

    ดังนั้นทุกครั้งก่อนที่เราจะลงทุน ให้แยกเงินที่จะใช้ลงทุนต่างหากออกมาจากเงินที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้เรียบร้อยก่อน แล้วเมื่อเริ่มลงทุนไปแล้ว ก็ปล่อยให้เงินลงทุนนี้เติบโตไปเรื่อยๆ ได้ปันผลมาเท่าไหร่ก็ขอให้นำไปลงทุนต่อเรื่อยๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่งแบบทบต้นให้กับเราในระยะยาวครับ
    และยิ่งถ้าหากเรารวมพลังของการนำเงินปันผลกลับไปลงทุนต่อนี้ กับการเพิ่มเงินลงทุน เข้าไปเรื่อยๆอีกทุกปี ก็จะยิ่งทวีคูณความมั่งคั่งของเราให้เติบโตได้อย่างน่าอัศจรรย์ครับ

    ลงทะเบียนรับความรู้การลงทุน passive

    รับความรู้การลงทุน passive ฟรี เพื่อเริ่มลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน

    นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า